นายสกนธ์ วรัญญูวัฒนา ประธานกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) เปิดเผยว่า ขณะนี้สำนักงานฯ ได้รับการร้องเรียนและให้ตรวจสอบเรื่องการค้าไม่เป็นธรรมอย่างต่อเนื่อง และตั้งแต่ต้นปี 2562 มีเรื่องร้องเรียนเข้ามาประมาณ 50 เรื่อง และจากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า มี 8 เรื่อง ที่ต้องมีการตรวจสอบเชิงลึกและอาจเข้าข่ายความผิดในพ.ร.บ. การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 อีกทั้งมีเรื่องร้องเรียนพิจารณาคงค้างจากคณะกรรมการชุดเดิมอีก 3 เรื่อง ทำให้ขณะนี้มีเรื่องอยู่ในขั้นดำเนินการตรวจสอบของคณะทำงานเฉพาะเรื่องและเตรียมดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งมีทั้งการร้องเรียนเอาผิดกับบริษัทใหญ่ข้ามชาติ บริษัทใหญ่ภายในประเทศ และการรับซื้อสินค้าเกษตร เป็นต้น

นายสกนธ์ กล่าวว่า ล่าสุดคณะกรรมการฯได้ทำการตัดสิน 3 กรณีที่ได้รับการร้องเรียน และดำเนินการตามพ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 ประกอบด้วย 1. กรณีตัวแทนจำหน่ายได้ร้องทุกข์ว่า บริษัท เอ็ม-150 จำกัด ได้ทำการห้ามมิให้ขายสินค้าเครื่องดื่มบำรุงกำลังของคู่แข่ง หากไม่ปฏิบัติตามจะไม่ส่งสินค้าตรา เอ็ม-150 ทำให้ตัวแทนจำหน่ายได้รับความเดือดร้อน โดยเหตุเกิดช่วงต.ค. 2554 ถึงก.ค. 2555 ซึ่งจากการหลักเกณฑ์เรื่อง ส่วนแบ่งตลาดมากกว่า ร้อยละ 50 และมียอดเงินขายในปีที่ผ่านมามากกว่า 1 พันล้านบาท จึงจะเป็นผู้ประกอบธุรกิจซึ่งมีอำนาจเหนือตลาดโดยได้กระทำการห้ามมิให้ตัวแทนจำหน่ายขายสินค้า เครื่องดื่มบำรุงกำลังของบริษัทคู่แข่ง หากไม่ปฏิบัติตามจะไม่ส่งสินค้าเครื่องดื่มบำรุงกำลังตรา เอ็ม-150 ซึ่งเป็นการกำหนดเงื่อนไขที่จำกัดการซื้อเครื่องดื่มบำรุงกำลัง ตรา เอ็ม-150 และจำกัดโอกาสในการเลือกซื้อหรือขายสินค้าเครื่องดื่มบำรุงกำลังตราอื่นๆ อย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 มาตรา 25 (2) และตามมาตรา 29 จึงมีความเห็นสั่งฟ้อง บริษัท เอ็ม-150 จำกัด ผู้ต้องหาที่ 1 และ นายประธาน ไชยประสิทธิ์ ในฐานะกรรมการบริษัทฯ เป็นผู้ต้องหาที่ 2 ต่อสำนักงานอัยการสูงสุด และเมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2562 สำนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ 2 โดยได้ให้คณะกรรมการแข่งขันทางการค้าสอบสวนเพิ่มเติม ต่อมาบริษัท เอ็ม-150 จำกัด ผู้ต้องหาที่ 1 และ นายประธาน ไชยประสิทธิ์ กรรมการบริษัทฯ เป็นผู้ต้องหาที่ 2 ได้ยื่นหนังสือแสดงความประสงค์ต่อคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า ขอให้พิจารณาเปรียบเทียบตามมาตรา 79 แห่ง พ.ร.บ. การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 ซึ่งคณะกรรมการได้พิจารณาแล้วเห็นว่ามีอำนาจเปรียบเทียบได้ จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ กำหนดจำนวนค่าปรับที่จะเปรียบเทียบแก่ผู้ต้องหาทั้งสอง ได้แก่ บริษัท เอ็ม-150 จำกัด ผู้ต้องหาที่ 1 และ นายประธาน ไชยประสิทธิ์ กรรมการบริษัทฯ ผู้ต้องหาที่ 2 เป็นจำนวนเงินรายละ 6 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 12 ล้านบาท โดยให้เลขาธิการคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า ดำเนินการเปรียบเทียบปรับเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2562 ที่ผ่านมา เป็นผลให้คดีเลิกกัน ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า ได้ส่งผลการดำเนินการไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อทราบเรียบร้อยแล้ว

นายสกนธ์ กล่าวว่า กรณีที่ 2 การแข่งขันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมของผู้ประกอบธุรกิจค้าส่งค้าปลีกโดยใช้คูปอง สองเท่าและโฆษณาบัตร “I Wish” บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (ห้างบิ๊กซี) มหาชน และ บริษัท เซ็นคาร์ จำกัด (ห้างคาร์ฟูร์) ได้ร้องเรียนต่อคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าว่า บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (ห้างเทสโก้ โลตัส) ผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจ ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ได้ตีพิมพ์โฆษณาหนังสือพิมพ์มีข้อความว่า “เทสโก้ โลตัส ยินดีต้อนรับลูกค้าคาร์ฟูร์ด้วยใจ สิทธิพิเศษสำหรับ ผู้ถือคูปองคาร์ฟูร์ นำคูปองมาเพิ่มมูลค่าเป็น 160 บาท สำหรับซื้อสินค้าที่เทสโก้ โลตัสและร้านคุ้มค่าที่มียอดรวมตั้งแต่ 600 บาทขึ้นไป ต่อ 1 ใบเสร็จ เมื่อใช้คู่กับบัตรเทสโก้คลับการ์ด สมัครฟรี รวดเร็ว ง่าย ทันใจ และ บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (ห้างเทสโก้ โลตัส) ได้ออกโฆษณาโดยการแจกใบปลิวในพื้นที่บริเวณห้างคาร์ฟูร์ที่มีพื้นที่ใกล้เคียงกับห้าง เทสโก้ โลตัสอ้างอิงถึงบัตรสมาชิก “ไอวิช” (I Wish) ว่า “สมาชิกบัตร คาร์ฟูร์ I Wish มีโอกาส รับ 200 บาท” และ “บัตรสมาชิกคาร์ฟูร์ไอวิช มีค่าอย่าทิ้ง” โดยมีเงื่อนไข ให้ผู้ที่มีบัตรสมาชิก “ไอวิช” (I Wish) ที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิกบัตรเทสโก้คลับการ์ดส่ง SMS ไปที่ห้างเทสโก้ โลตัส เพื่อรับบัตรของขวัญมูลค่า 200 บาท สำหรับนำไปใช้จ่าย ในห้างเทสโก้ โลตัส ซึ่งเป็นกระทำการอันเป็นการใช้สถานะของการเป็นผู้ประกอบธุรกิจที่มีอำนาจเหนือตลาดอย่างไม่เป็นธรรม และกระทำการอันมิใช่การแข่งขันโดยเสรี อย่างเป็นธรรม และมีผลเป็นการทำลาย ขัดขวาง กีดกัน หรือจำกัดการประกอบธุรกิจหรือต้องล้มเลิกการประกอบธุรกิจ เป็นเหตุ ให้ผู้กล่าวหาได้รับความเสียหาย สูญเสียรายได้ อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ. การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 มาตรา ๒๕ และ มาตรา ๒๙ (ปัจจุบันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 มาตรา 50 และ มาตรา 57) เหตุเกิดระหว่าง วันที่ 23-28 ม.ค. 2554 วันที่ 15-24 ก.ค. 2554 และ วันที่ 1-24 ส.ค. 2554

คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวนเพื่อทำการสืบสวนและสอบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งได้เสนอความเห็นต่อคณะกรรมการแข่งขันว่า บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (ห้างเทสโก้ โลตัส) ผู้ต้องหาที่ 1 และนายเคิร์ท ปีเตอร์ แคมพ์ ในฐานะกรรมการและผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ซึ่งรับผิดชอบสั่งการเกี่ยวกับการดำเนินงาน ในเรื่องนโยบายให้จัดทำโปรโมชั่นเพิ่มมูลค่าคูปองสองเท่าของนิติบุคคลดังกล่าว กระทำความผิดตามมาตรา 29 แห่ง พ.ร.บ. การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นการกระทำความผิดทางอาญา และยังคงหลักการกำหนดความผิดไว้ตามมาตรา 57 แห่ง พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 อีกทั้งผู้กล่าวหาทั้งสอง ได้มีการฟ้องต่อศาลดำเนินคดีทางแพ่งด้วย

โดยศาลฎีกา ได้มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6599/2559 วินิจฉัยว่าการจัดรายการส่งเสริมการขายของผู้ต้องหาที่ 1 ที่ได้นำคูปองของผู้กล่าวหาที่ 1 มาเพิ่มมูลค่าเป็นสองเท่าที่ห้างของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นการกระทำการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 421 ให้ผู้ต้องหาที่ 1 รับผิดชอบต่อผู้กล่าวหาที่ 1 เป็นเงิน 2,456,412.88 บาท และรับผิดชอบต่อผู้กล่าวหาที่ 2 เป็นเงิน 1,493,137 บาท ส่วนกรณีบัตร I – Wish เนื่องจากเมื่อผู้บริโภคดำเนินการตามที่ห้างเทสโก้ โลตัส โฆษณาไว้ ก็จะได้รับเงิน 200 บาท ไปซื้อของที่เทสโก้ โลตัส แต่ไม่ได้ผูกมัดว่าจะต้องซื้อของที่ห้างเทสโก้ โลตัส ตลอดไป ยังสามารถกลับไปซื้อของที่ห้างบิ๊กซีได้ โดยไม่มีผลกระทบต่อการเป็นสมาชิกบัตรของผู้กล่าวหาที่ 2 ซึ่งไม่เข้าข่ายเป็นการใช้อำนาจตลาดอย่างไม่เป็นธรรม คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า ได้พิจารณาและมีมติว่า บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (ห้างเทสโก้ โลตัส) ผู้ต้องหาที่ 1 และนายเคิร์ท ปีเตอร์ แคมพ์ กรรมการและผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กระทำความผิด ตามมาตรา 29 แห่ง พ.ร.บ. การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 และยังคงหลักการกำหนดความผิดตามมาตรา 57 แห่ง พ.ร.บ. การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 แต่เนื่องจากการกระทำความผิดตามมาตรา 57 ดังกล่าวได้กำหนดโทษปกครองคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า จึงมีความเห็นว่าไม่อาจนำโทษทางปกครองมาใช้บังคับแก่ผู้กระทำความผิดดังกล่าวได้ ทั้งนี้ เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ให้ความเห็นว่า การนำหลักบทบัญญัติมาตรา 3 แห่งประมวลกฎหมายอาญามาใช้บังคับ ในฐานะกฎหมายเป็นคุณ ให้กระทำได้เฉพาะการใช้บังคับแก่ความรับผิดทางอาญาของผู้กระทำความผิดเท่านั้น ไม่สามารถนำมาใช้กับโทษทางปกครองได้ ซึ่งคณะกรรมการฯ จะนำเสนอยุติเรื่องส่งให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาต่อไป

นายสกนธ์ กล่าวว่า กรณีที่ 3 พฤติกรรมทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมของผู้รับซื้อผลผลิตทางการเกษตร เกษตรกร ตำบลแม้ต้อบใต้ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้แจ้งเบาะแสว่านายยุทธ จันตา และนางสาวจำเนียร เหลืองสวรรค์ ซึ่งร่วมกันประกอบอาชีพเป็นผู้รับซื้อผลผลิตทางการเกษตรจากเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนและเชียงใหม่ มีพฤติกรรมกดราคารับซื้อผลผลิตทางการเกษตร อีกทั้ง ยังมีพฤติกรรมห้ามมิให้ผู้รับรายอื่นเข้ามารับซื้อในพื้นที่ โดยอ้างว่าตน เป็นผู้แจกจ่ายเมล็ดพันธุ์แก่เกษตรกร และหากผู้รับซื้อรายอื่นต้องการซื้อจะต้องซื้อในราคาที่ผู้ถูกกล่าวหากำหนดเท่านั้น เป็นเหตุให้ผู้ประกอบธุรกิจรายอื่นได้รับความเสียหาย เนื่องจากถูกกีดกันและกำหนดเงื่อนไขทางการค้าอย่างไม่เป็นธรรม อันเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ. การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 เหตุเกิดระหว่างเดือนก.ย.ต่อเนื่องถึงเดือนต.ค. 2560 (ช่วงระยะเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตฤดูกาล 2560)

คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าได้แต่งตั้งคณะปฏิบัติงานเฉพาะกิจเพื่อสืบสวนข้อเท็จจริงซึ่งได้เสนอความเห็นต่อคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าว่า จากการขยายผลการสืบสวนข้อเท็จจริงพบว่า นายยุทธ จันตา ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 และนางสาวจำเนียร เหลืองสวรรค์ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ได้กระทำการข่มขู่ผู้รับซื้อผลผลิตทางการเกษตรรายหนึ่งที่แข่งขันกับผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองราย จนเป็นเหตุให้ ผู้รับซื้อผลผลิตทางการเกษตรรายดังกล่าว ได้แจ้งความลงประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่ สภ.กองก๋อย ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้ยอมรับว่าตนได้กระทำการข่มขู่จริง อีกทั้งยังได้อ้างกับผู้รับซื้อผลผลิตทางการเกษตรรายอื่นว่า ตนได้นำเมล็ดพันธุ์ไปแจกจ่ายให้เกษตรกรเพาะปลูกจึงห้ามมิให้ผู้รับซื้อผลผลิตทางการเกษตรรายอื่นเข้าไปรับซื้อผลผลิตทางการเกษตร กับเกษตรกรในพื้นที่บ้านแม่ต้อบใต้ หรือหากจะเข้าไปรับซื้อจะต้องรับซื้อในราคาที่ตนกำหนด เป็นผลให้ผู้รับซื้อผลผลิตทางการเกษตรรายอื่นไม่เข้าไปรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรในพื้นที่ ตามประเพณีปฏิบัติที่ผู้รับซื้อผลผลิตทางการเกษตรจะไม่รับซื้อผลผลิตทางการเกษตรจากเกษตรกรที่รับเมล็ดพันธุ์จากผู้รับซื้อผลผลิตทางการเกษตรรายอื่นมาเพาะปลูก ซึ่งจากข้อเท็จจริงผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองรายได้นำเมล็ดพันธุ์ไปแจกจ่ายให้เกษตรกรเพียงบางรายเท่านั้น ทำให้ผู้รับซื้อผลผลิตทางการเกษตร 3 ราย สูญเสียรายได้คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมจำนวนประมาณ 21,000 บาท จึงเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 57 (3) แห่ง พ.ร.บ. การแข่งขัน ทางการค้า พ.ศ. 2560

ในส่วนของข้อกล่าวหากรณีการกดราคารับซื้อสินค้าเกษตรกับเกษตรกร คณะปฏิบัติงานเฉพาะกิจเห็นว่า จากข้อเท็จจริงที่ได้รับจากเกษตรกรผู้ขายสินค้าเกษตรให้กับผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองราย พบว่า ในขณะที่ผู้ถูกกล่าวหาแจ้งปรับลดราคารับซื้อต่ำกว่าที่ตกลงกันไว้ เกษตรกรสามารถต่อรองราคารับซื้อได้จึงไม่เข้าข่ายเป็นการใช้อำนาจต่อรองที่เหนือกว่าอย่างไม่เป็นธรรม ตามมาตรา 57 (2) แห่ง พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าพิจารณาแล้วมีมติว่า การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองต้องด้วยความผิดตามมาตรา 57 (3) แห่ง พ.ร.บ. การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 ประกอบ ข้อ 10 (6) ของประกาศคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า เรื่อง แนวทางปฏิบัติในการพิจารณาการกระทำอันเป็นผลเสียหายแก่ผู้ประกอบธุรกิจรายอื่น พ.ศ. 2561 และกำหนดค่าปรับ ให้ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองรายร่วมกันชำระตามที่มาตรา 82 แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 กำหนด ส่วนในกรณีการกดราคารับซื้อผลผลิตทางการเกษตร คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าพิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำ ของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองรายไม่เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 57 (2) แห่ง พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560
กำหนดให้ปรับผู้ฝ่าฝืนได้สูงสุดร้อยละ 10 ของรายได้ในปีที่กระทำผิด ซึ่งในกรณีนี้ ผู้ถูกกล่าวหามีรายได้ปีละประมาณ 5 แสนบาท เมื่อคิดคำนวณอัตราโทษจากรายได้จึงเป็นเงิน 50,000 บาท
ทั้งนี้ ผู้ถูกกล่าวหา ให้การรับสารภาพและให้ความร่วมมือในการดำเนินการสืบสวนสอบสวนของสำนักงานฯ เป็นอย่างดี กอรปกับเป็นการกระทำความผิดครั้งแรกจึงเห็นควรกำหนดค่าปรับลงกึ่งหนึ่ง ให้เหลือจำนวน 25,000 บาท ซึ่งมีความสอดคล้องกับความเสียหายที่ผู้ประกอบธุรกิจรายอื่นได้รับ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน