เมื่อวันที่ 7 ส.ค. นายบัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือใน “โครงการการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์” ร่วมกับนายอนันต์ วงศ์เบญจรัตน์ รองปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วยนายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท.

นายบัณฑิต เปิดเผยภายหลังลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับหน่วยงานหลักด้านการท่องเที่ยวอย่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ว่า โครงการการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ เป็นการขับเคลื่อนการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพท้องถิ่นและชุมชน ผ่านอพท. ให้สอดคล้องกับนโยบายคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันที่ได้แถลงต่อรัฐสภา

ทั้งนี้ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวถือเป็นฟันเฟืองสำคัญของระบบเศรษฐกิจไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้การพัฒนาการท่องเที่ยวที่ผ่านมาจะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวได้อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมด้านสิ่งแวดล้อมตามมา ประกอบกับการที่ประเทศไทยติดอยู่ในกับดักรายได้ปานกลางเป็นเวลานาน จากปัญหาเหล่านี้ จึงได้เกิดแนวคิดการขับเคลื่อนโครงการการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกการท่องเที่ยวที่นอกเหนือจากการท่องเที่ยวกระแสหลัก

แนวคิดนี้ก็ยังสอดคล้องกับแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศการสื่อสารของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พ.ศ. 2558-2562 รวมถึงสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองรองของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่ต้องการลดการกระจุกตัวของนักท่องเที่ยวในเมืองท่องเที่ยวขนาดใหญ่

โครงการการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ (Development of Creative Tourism) เป็นหนึ่งในชุดโครงการแผนพัฒนาวิชาการ “สร้างเสริมพลังจุฬาฯ ก้าวสู่ศตวรรษที่ 2” ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยสถาบันเอเชียศึกษา ร่วมกับนักวิจัยจากสหสาขาวิชาจาก 11 คณะและสถาบัน บูรณาการศาสตร์ ความรู้และความเชี่ยวชาญต่างๆ ประกอบด้วย ชุดโครงการที่ 1 การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ในพื้นที่จังหวัดน่าน และชุดโครงการที่ 2 การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์เพื่อสังคมพหุวัฒนธรรม โดยมีระยะเวลาดำเนินโครงการ 3 ปี ตั้งแต่เดือนก.พ. 2562 -ก.พ. 2565 โดยได้รับงบประมาณสนับสนุน จำนวน 54.4 ล้านบาท

สำหรับโครงการชุดที่ 1 พื้นที่จังหวัดน่าน ประกอบด้วย 8 โครงการย่อย ซึ่งคณะผู้วิจัยจะทำการศึกษาการพัฒนาการท่องเที่ยวในจังหวัดน่านในบริบทเชิงธรรมชาติ สุขภาพและวัฒนธรรมเพื่อให้เกิดการท่องเที่ยว การผลิตสินค้าและบริการรูปแบบใหม่ โดยใช้ภูมิปัญญาและต้นทุนทางวัฒนธรรมเป็นตัวขับเคลื่อน เพื่อให้ชุมชนมีรายได้อย่างยั่งยืนและพึ่งพาตนเองได้ รวมถึงทำการศึกษาและรวบรวมข้อมูลเพื่อยกระดับและเพิ่มศักยภาพของการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ทั้งในด้านการจัดการขนส่งเพื่อการท่องเที่ยวในจังหวัดน่าน การประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ในจังหวัดน่าน การจัดการท่องเที่ยวเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวอิสระชาวจีนที่จะมาท่องเที่ยวในจังหวัดน่านเพิ่มขึ้นเมื่อการเดินทางระหว่างน่านและหลวงพระบางสะดวกขึ้นในอนาคตอันใกล้

โครงการชุดที่ 2 ครอบคลุมพื้นที่ฝั่งอันดามัน ประกอบด้วย 4 โครงการย่อย โดยจะทำการศึกษาและรวบรวมข้อมูลด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเบื้องต้นเกี่ยวกับชาวเล คนไทยพลัดถิ่น และกลุ่มชาติพันธุ์ในมะริด จัดทำเอกสารสื่อความหมายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรม พัฒนาเส้นทางท่องเที่ยว สร้างกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และแหล่งเรียนรู้ในรูปแบบของศูนย์วัฒนธรรมหรือพิพิธภัณฑ์ ภายใต้กรอบแนวคิดการมีส่วนร่วมในชุมชน ยกระดับและเพิ่มศักยภาพของการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ด้วยการจัดการขนส่งเพื่อการท่องเที่ยวระหว่างอันดามันและเมียนมา รวมถึงส่งเสริมความเข้าใจเรื่องการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของชุมชน และสร้างพื้นที่สื่อสารระหว่างชุมชน นักท่องเที่ยวและพื้นที่สาธารณะ

ทั้งนี้ ภายใต้กรอบความร่วมมือพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ระหว่าง 3 หน่วยงาน จะครอบคลุมการดำเนินงาน 3 ด้าน ได้แก่ 1. ร่วมมือในการสนับสนุนการวิจัยเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ที่ยั่งยืน 2. ร่วมมือในการสนับสนุนด้านงานวิจัย เพื่อสร้างและพัฒนานักวิจัย ตลอดจนจัดการเรียนการสอนเพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์และ 3. นำองค์ความรู้และผลจากการวิจัยไปใช้ประโยชน์ในมิติต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อการพัฒนาประเทศ

“การลงนามครั้งนี้ เป็นการสร้างมิติความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ และสถาบันการศึกษาในการพัฒนาศักยภาพของชุมชนบนฐานทรัพยากรทางการท่องเที่ยวที่มีอยู่ ยกระดับพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์บนพื้นฐานการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ตลอดจนสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับภาคธุรกิจและภาคส่วนต่างๆ เพื่อสร้างความยั่งยืนและการกระจายรายได้สู่ชุมชน ขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศและสังคมไทย”

ด้านนายทวีพงษ์ กล่าวว่า อพท. มีภารกิจหน้าที่ในการพัฒนาการท่องเที่ยวให้เกิดความยั่งยืนเพื่อเพิ่มรายได้และกระจายรายได้สู่ชุมชนท้องถิ่น โดยมี “แผนขับเคลื่อน อพท. ระยะ 4 ปี (2562-2565)” ภายใต้วิสัยทัศน์ “เป็นองค์กรแห่งความเป็นเลิศด้านการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนเพื่อสร้างชุมชนแห่งความสุข” และมีพันธกิจสำคัญที่ต้องดำเนินการ 4 ประการ ดังนี้ (1) พัฒนาพื้นที่ต้นแบบเพื่อสร้างการท่องเที่ยวโดยชุมชน (2) พัฒนาการบริหารจัดการการท่องเที่ยวโดยชุมชน (3) ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์เสริมสร้างเศรษฐกิจชุมชน และ (4) บูรณาการร่วมกับทุกภาคีเพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการบริหารจัดการการท่องเที่ยว

“ตลอดระยะเวลาการดำเนินงาน 16 ปีที่ผ่านมา อพท. ตระหนักดีว่า ชุมชนท้องถิ่นคือเจ้าของทรัพยากรการท่องเที่ยวที่แท้จริง และการท่องเที่ยวจะยั่งยืนได้นั้น ผลประโยชน์จะต้องเกิดกับคนในชุมชน ดังนั้น การท่องเที่ยวโดยชุมชนจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยมีกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์เข้ามาช่วยเพิ่มมูลค่าการท่องเที่ยว ทำให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสวิถีชีวิตท้องถิ่น ภูมิปัญญา ศิลปวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง และใช้เวลาอยู่ในชุมชนนานขึ้น ใช้จ่ายในชุมชนมากขึ้น จึงนับเป็นกลไกสำคัญในการเพิ่มรายได้และกระจายรายได้สู่ชุมชนได้อย่างแท้จริง พร้อมทั้งสืบสานวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นให้คงอยู่ต่อไป”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน