นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในโอกาสเป็นสักขีพยานพิธีลงนามความร่วมมือระหว่างเครือข่ายภาครัฐ สถาบันการเงินและภาคเอกชนรวม 13 หน่วยงานในการขับเคลื่อน “อินโนสเปซ ไทยแลนด์ : InnoSpace Thailand” ภายใต้บริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จำกัด ว่า การลงนามครั้งนี้จะช่วยให้เกิดแหล่งรวมเทคโนโลยี งานวิจัย นักลงทุน และสตาร์ตอัพที่มีศักยภาพ อีกทั้งโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ยังเป็นประตูสู่กลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) และภูมิภาคอาเซียนเป็นข้อต่อสู่ประเทศจีน ทำให้สตาร์ตอัพของไทยเชื่อมโยงสู่เวทีระหว่างประเทศได้ ส่งผลให้เศรษฐกิจมีอัตราการขยายตัวได้มากกว่าปัจจุบันที่เฉลี่ยโตปีละ 4-5%

เบื้องต้น ยังดึงหัวเว่ยมาเป็นพันธมิตรแล้ว ส่วนไมโครซอฟท์ ซัมซุง กูเกิล กำลังจะตามมาเป็นพันธมิตร ทำให้เกิดการพัฒนาสตาร์ตอัพร่วมกัน โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร ตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนสตาร์ตอัพในไทยให้เกิดขึ้นเป็นหลักหมื่นหลักแสนราย และมีการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ให้มากขึ้น โดยช่วงสิ้นเดือนก.ย.นี้ กระทรวงการคลังจะร่วมมือกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สภาเกษตรกรและกองทุนหมู่บ้านออกมาตรการขับเคลื่อนให้เกษตรกรให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการใช้เทคโนโลยีและความรู้ใหม่ๆ ช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรให้มากขึ้น

โดยมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาแนวทางส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตร บริการและการท่องเที่ยวที่เป็นอุตสาหกรรมฐานราก ต่อยอดการสร้างมูลค่าเพิ่ม ทำให้รายได้ของประชาชนเพิ่มขึ้น ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ออกมาตรการพัฒนาบุคลากร โดยให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นหน่วยพัฒนาบุคคลากรเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เช่น วิศวกรด้านพลังงาน รวมถึงกลุ่มบมจ.กรุงเทพดุสิต เวชการ พัฒนาบุคคลากรด้านการแพทย์ และบมจ.การบินกรุงเทพ ฝึกอบรมด้านการบิน เป็นต้น

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรรมผลักดันโครงการอินโนสเปซ ไทยแลนด์เป็นแพลตฟอร์ม ที่เชื่อมโยง บูรณาการ และประสานความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศด้านการลงทุน การบ่มเพาะธุรกิจ และด้านเทคโนโลยีองค์ความรู้ เป็นกลไก เพื่อสร้างสตาร์ตอัพให้มีความเข้มแข็ง ไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน ช่วยสร้างระบบนิเวศและยกระดับสตาร์ตอัพไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว ตั้งเป้าหมายสร้างสตาร์ตอัพ 300 รายภายใน 1 ปีและไปสู่ระดับสตาร์ตอัพที่มีรายได้มากกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐขึ้นไปหรือ ‘ยูนิคอร์น’ ต่อไป ทำให้เกิดธุรกิจที่ตอบโจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในอนาคต

“ขณะนี้มีบริษัทที่แสดงความสนใจระดมทุนเพิ่มเติมอีก โดยอยู่ระหว่างเสนอบอร์ด เช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รอความเห็นชอบจากบอร์ดก่อนเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาวงเงิน 100 ล้านบาท อีกทั้งธนาคารออมสิน คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่งอินโนสเปซ ไทยแลนด์จะเน้นช่วยเหลือกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร เกษตรแปรรูป ไบโออีโคโมมี การแพทย์สมัยใหม่ ล้วนเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ปัจจุบันทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 1 แสนบาท หลังจากนี้จะนำเงินจากการระดมทุน 25% ของวงเงินทั้งหมด เพิ่มเข้ามาในทุนจดทะเบียนเป็น 100 ล้านบาท”

นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานที่ปรึกษา บริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เบื้องต้นคาดสำนักงานใหญ่อินโนสเปซ ไทยแลนด์ ตั้งอยู่ที่โรงงานยาสูบ ขณะนี้มีเครือข่ายสนับสนุนด้านเงินทุนแล้ว 515 ล้านบาท ได้แก่ บมจ.ปตท. 100 ล้านบาท บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ 30 ล้านบาท เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ร่วมกับกลุ่มทรู คอร์ปอเรชั่น 50 ล้านบาท ธนาคารไทยพาณิชย์ 50 ล้านบาท ธนาคารกรุงเทพ 50 ล้านบาท ธนาคารกสิกรไทย 50 ล้านบาท ธนาคารกรุงไทย 50 ล้านบาท บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ 50 ล้านบาท เครือสหพัฒน์ 30 ล้านบาท บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป 30 ล้านบาท บมจ.การบินกรุงเทพ 20 ล้านบาท และธนาคารรัฐวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีดีแบงก์) 5 ล้านบาท

“ปัจจุบันไทยมีสตาร์ตอัพประมาณ 1,000 ราย ซึ่งประสบความสำเร็จมีเพียงแค่ประมาณ 100 รายเท่านั้น ภารกิจจากนี้ไปอินโนสเปซตั้งเป้าหมายสร้างสตาร์ตอัพให้เป็น 10-100 เท่า เพื่อหวังจะให้เกิดสตาร์ตอัพที่เป็นยูนิคอร์น ไทยจึงต้องเพิ่มจำนวนสตาร์ตอัพที่มีคุณภาพไปสู่สากลให้มากขึ้น จากเวลานี้ประสบปัญหาด้านการตลาด ฐานลูกค้าแคบ จึงจำเป็นต้องจับมือกับต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง เกาหลี จีน เป็นต้น ซึ่งในระยะต่อไปไทยจะมีการลงนามความร่วมมือกับประเทศอิสราเอล และญี่ปุ่น”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน