นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังประชุมร่วมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณะสุข หลังจากได้รับมอบหมายจาก คณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจให้ติดตามแผนลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงตะวันตก “ศูนย์วัฒนธรรม-บางขุนนนท์” ระยะทาง 35.9 กิโลเมตร และระบบเดินรถไฟฟ้า มูลค่ารวม 1.22 แสนล้านบาท ว่า ที่ประชุมได้มีการพิจารณาข้อเท็จจริงต้นทุนโครงการรูปแบบเดิมตามที่ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) นำเสนอ ซึ่งมีการรวมสัญญางานก่อสร้างกับสัญญาเดินรถเป็นสัญญาเดียว และรูปแบบใหม่ที่กรมการขนส่งทางราง (ขร.) นำเสนอ ให้มีการแยกสัญญางานโยธาออกจากสัญญาการเดินรถ ตามข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง

โดยเมื่อพิจารณาการดำเนินการในรูปแบบที่มีการแยกสัญญางานโยธาก่อสร้างออกมาต่างหากโดยให้รัฐบาลงทุนวงเงิน 9 หมื่นล้านบาท โดยใช้การกู้เงินนั้น ปรากฏว่า ตัวเลขต้นทุนการดำเนินโครงการตามผลการศึกษาของ รฟม. และขร. ยังมีความแตกต่างกันในส่วนของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ โดย รฟม. อ้างอิงดอกเบี้ยเงินกู้ จากสำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) อยู่ที่ 2.5% แต่ ขร. อ้างอิงดอกเบี้ยเงินกู้ จากโครงรถไฟความเร็วสูง ไทย-จีน ที่อัตรา 1.5-1.6% ดังนั้นจึงมอบหมายให้นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานประชุมร่วมกับ ขร. สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) และ รฟม. ในช่วงเช้าวันที่ 10 ต.ค.นี้ เพื่อสรุปตัวเลขที่แท้จริงว่าเป็นอัตราไหน เพื่อนำเสนอให้รองนายกอนุทินช่วงบ่าย เพื่อเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) พิจารณาในวันที่ 11 ต.ค. ส่วนจะเสนอให้ครม.ใหญ่ พิจารณาทันวันที่ 15 ต.ค. หรือไม่ยังไม่สามารถบอกได้

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า ส่วนตัวมองว่าการแยกงานโยธาออกมาให้รัฐลงทุนเองจะความเสี่ยงในการดำเนินโครงการน้อยลง และโครงการจะเสร็จเร็วขึ้น เพราะไม่ผูกโครงการขนาดใหญ่กับผู้รับจ้าง เช่น โครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์ที่มีการแบ่งสัญญาออกเป็น 40 สัญญาทำให้โครงการเสร็จเร็วกว่าที่ประมารการไว้ โดยหาก ครม. มีมติให้แยกงานโยธาออกโดยให้รัฐลงทุนเองคาดว่า จะเปิดประมูล ได้ในปี 2563 เนื่องจากเป็นโครงการที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.งบประมาณเนื่องจากรัฐบาลจะใช้วิธีการกกู้เงินมา ส่วนสัญญาระบบเดินรถนั้นไม่ใช่ปัญหาเพราะยังมีเวลาในการเปิดพีพีพีอีก 5ปี คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการพร้อมกับรถไฟฟ้าสีส้มตะวันออกในปี 2569

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน