เจาะข่าวเด่นเศรษฐกิจ 2562
จากแจกแหลกถึงกระอักเลือด
เจาะข่าวเด่นเศรษฐกิจ 2562 – ปิดฉากปี 2562 ไปด้วยความหนักอกหนักใจของภาคเศรษฐกิจ ที่สาละวันเตี้ยลงแทบในทุกตลาด ทำให้รัฐบาลต้องผุดโครงการต่างๆ ขึ้นมาราวกับดอกเห็ด เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้ทั้งดอกไม้บ้าง ก้อนอิฐบ้าง
มาย้อนดูกันว่าตลอดปี 2562 ข่าวเศรษฐกิจใดที่สร้างกระแสและผลกระทบบ้าง
แจกแหลกผ่าน‘ชิมช้อปใช้’
ช่วงที่เศรษฐกิจไทยฟุบเอาๆ จนต้องปรับลดการเติบโตทางเศรษฐกิจลงอย่างต่อเนื่อง ผู้บริโภคชะลอการใช้เงิน ทำให้กระทรวงการคลังออกใช้มาตรการ ‘ชิมช้อปใช้’ กระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปี
เปิดตัวในช่วงเดือนปลายเดือน ต.ค.2562 ให้ประชาชนมาลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ จำกัดจำนวนเฟสแรกที่ 10 ล้านคน แจกเงินฟรีคนละ 1,000 บาท เข้าแอพพลิเคชั่นเป๋าตังค์ กระเป๋าที่ 1 และได้สิทธิ์รับเงินคืนเมื่อใช้เงินผ่านการท่องเที่ยวหรือซื้อของที่มากขึ้น ในกระเป๋าที่ 2
ให้สิทธิ์กรณีที่มีการใช้จ่ายไม่เกิน 30,000 บาท จะได้คืน 15% หรือ 4,500 บาท แต่เมื่อเปิดโครงการไปไม่นาน พบว่าประชาชนยังสนใจไม่มาก จึงเพิ่มสิทธิ์ คืนเงินส่วนที่เกิน 30,000 แต่ไม่เกิน 50,000 อีก 20% หรือ 4,000 บาท และปรับเกณฑ์การใช้สิทธิ์ร้านค้าครอบคลุมทั่วประเทศ จากเดิมห้ามใช้ในจังหวัดที่อาศัยอยู่
จากนั้นขยายเฟส 2 และ 3 เพิ่มอีก 5 ล้านคน แต่ให้สิทธิ์รับเงินคืนในกระเป๋าที่ 2 เท่านั้น ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากจากฐานข้อมูลกว่า 15 ล้านคนที่มีปัญหาน้อยมาก เป็นสัญญาณให้เห็นว่าไทยพร้อมเข้าสู่สังคมไร้เงินสดแล้ว
แต่ก็มีเสียงค่อนขอดว่าแก้ปัญหาง่ายๆ ด้วยการแจกเงินเหมือนเดิม
แบน 3 สาร-ป่วนตามๆ กัน
ข่าวการแบน 3 สารเคมีเกษตรอย่าง ‘พาราควอต-คลอไพริฟอส-ไกลโฟเซต’ เป็นหนึ่งในข่าวที่สร้างความปั่นป่วนและส่งผลกระทบในวงกว้าง เมื่อ น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ จากพรรคภูมิใจไทย เดินหน้าแบน 3 สารดังกล่าว อ้างเรื่องสุขภาพเกษตรกร โดยประกาศว่าสารทั้ง 3 ชนิดต้องหมดจากเมืองไทยภายในวันที่ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันมีเสียงท้วงติงจากเกษตร อุตสาหกรรมที่ยังต้องใช้ 3 สารนี้ เพื่อลดต้นทุน เพื่อความสะดวก ที่สำคัญคือการขาดแคลนแรงงาน พร้อมให้เหตุผลว่าหากเป็นเกษตรทั่วไป หรือชาวบ้านที่ทำไม่มากนัก อาจไม่ต้องใช้ 3 สารนี้ได้ แต่ถ้าเป็นระดับอุตสาหกรรมถือว่าทำได้ยาก
นอกจากนี้กลุ่มเกษตรกรจำนวนมากออกมาต่อต้าน เพราะรัฐไม่ได้แนะนำให้ใช้สารตัวใดทดแทน ส่วนที่แนะนำก็มีราคาสูง และต้องใช้ปริมาณที่มากกว่า
ไม่นับกลุ่มประเทศอื่นๆ ทั้งเอเชีย อเมริกา และยุโรป ที่ออกมาการันตีสารบางตัวเช่น ไกลโฟเซต ว่าไม่มีปัญหาใดๆ แต่หากเมืองไทยแบนจริงจะกระทบหนักแน่ เพราะไทยจะไม่สามารถนำเข้าสินค้าเกษตรจากประเทศจำนวนมากที่ยังใช้สารตัวนี้ อยู่ ซึ่งมีสินค้าเกษตรจำนวนมากที่ไทยต้องนำเข้า
ท้ายที่สุดในการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตรายเลื่อนแบนพาราควอต-คลอไพริฟอส ไปอีก 6 เดือน ส่วน ไกลโฟเซต ใช้วิธีจำกัดปริมาณการใช้
ประกันรายได้พืชเกษตร
ถือเป็นนโยบายที่เรียกคะแนนเสียงให้กับราก หญ้าได้อย่างต่อเนื่องของรัฐบาลชุดนี้ นั่นคือ นโยบายประกันรายได้เกษตรกร และเป็นที่แน่ชัดว่าจะถูกดำเนินการต่อไปในปี 2563 หรือตลอดอายุของรัฐบาลชุดนี้
โดย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ที่ประกาศออกมา โดยในปีที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ มีพืช 4 ชนิดที่ดูแล คือ ปาล์มน้ำมัน ข้าว มันสำปะหลัง และ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ สามารถผลักดันโครงการได้ครบทุกตัว และหากรวมสินค้ายางพารา ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงเกษตรฯ ถือว่าโครงการประกันรายได้พืชเกษตร 5 ชนิด
มีเกษตรกรได้รับการโอนเงินส่วนต่างแล้วจาก โครงการประกันรายได้พืชเกษตร 4 ชนิด คือ ปาล์มน้ำมัน ข้าว ยางพารา และ มันสำปะหลัง รวม 1,692,576 ครัวเรือน มีวงเงินที่จ่ายส่วนต่างชดเชยให้กับเกษตรกรรวม 18,468 ล้านบาท
อสังหาฯ ไทยกระอักเลือด
ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2562 ถูกมรสุม กำลังซื้อในประเทศชะลอตัว จากปัญหาเศรษฐกิจที่ไม่สดใส หนำซ้ำกำลังซื้อต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนที่เกือบจะหายไปจากตลาดเลยก็ว่าได้ และยังถูกกระหน่ำ จากเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัยใหม่ (แอลทีวี) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้กลุ่มผู้ซื้อบ้านหลังที่ 2 ซื้อเพื่อการลงทุนปล่อยเช่า และซื้อเก็งกำไร หายไปจากตลาดมากพอสมควร
ท้ายที่สุดรัฐบาลต้องออกมาตรการกระตุ้น อสังหาริมทรัพย์ โดยลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% จากปกติ 2% และ 1% ตามลำดับ แต่ยังมีกรอบความช่วยเหลือสำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทเท่านั้น และต้องเป็นการซื้อจากผู้ประกอบการพัฒนาที่ดินโดยตรง ซึ่งมีผลบังคับใช้จนถึงวันที่ 24 ธ.ค. 2563
จากนั้นเดือน พ.ย. ออกหมัดสอง โครงการ ‘บ้านดีมีดาวน์’ คืนเงินให้ 50,000 บาท/ราย สำหรับผู้มีรายได้ไม่เกิน 100,000 บาท/เดือน หรือไม่เกิน 1.2 ล้านบาท/ปี ที่ซื้อบ้านจากผู้ประกอบการ พร้อมกับจดจำนองภายในวันที่ 31 มี.ค. 2563 จำกัดจำนวนผู้ได้รับสิทธิ์ 100,000 ราย
ตลาดรถหดตัวหนัก
เช่นเดียวกับตลาดอสังหาฯ ตลาดรถยนต์ไทยที่เติบโตต่อเนื่องมาทุกปี ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจเช่นกัน แม้ช่วง 5 เดือนแรกจะดูสดใส ด้วยตัวเลขอัตราเติบโตต่อเนื่องทะลุทะลวง พลิกความคาดหมายของบรรดากูรูทั้งหลาย
ครั้นเข้าเดือน มิ.ย. หลังจากที่เริ่มมีมาตรการเข้มงวด การปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน ยอดขายรถยนต์โดยรวมปักหัวลงในทันที ที่สำคัญเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 30 เดือน และยังคงส่งผลต่อเนื่อง แม้ค่ายรถยนต์ต่างระดมสรรพกำลัง จัดส่งรถยนต์รุ่นใหม่ ในหลากหลายเซ็กเมนต์ พร้อมด้วยแคมเปญโปรโมชั่นที่ดุเดือดเลือดพล่าน บางโปรโมชั่นบอกเลยว่าแรงชนิดแทบไม่เคยเห็นมาก่อน
แม้แต่งานคาร์โชว์ใหญ่อย่าง ‘มอเตอร์ เอ็กซ์โป’ ช่วงปลายปี ที่ปกติยอดจอดในงานจะขยับขึ้นทุกปี แต่ปี 2562 ยอดขายหลุดเป้าจนสุดท้ายประเมินว่ายอดขายรถปี 2562 น่าจะทำได้ใกล้เคียงกับปี 2561 ที่ระดับ 1 ล้านคัน บวกลบ
‘7 ช่อง’ทีวีดิจิตอลไม่ไปต่อ
หลังจากผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลต้องเผชิญ กับเส้นทางวิบากนับตั้งแต่ประมูลได้ และเริ่มต้นใบอนุญาตประกอบกิจการในปี 2557 ตลอด 5 ปีรายได้ไม่ใช่อย่างที่คาดหวังไว้ หนำซ้ำยังติดลบต่อเนื่อง ท้ายที่สุดต้องมีคำสั่งจากหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้มาตรา 44 แก้ไขปัญหาในวันที่ 11 เม.ย.2562 เปิดทางให้ทีวีดิจิตอลคืนช่อง พร้อมรับเงินเยียวยา
ทำให้ ‘7 ช่อง’ ได้แก่สปริงส์นิว 19, สปริง 26 (NOW 26), ไบรท์ทีวี, วอยซ์ทีวี, MCOT Family (อสมท), ช่อง 3 SD (ช่อง 28) และ ช่อง 3 Family (ช่อง 13) ขอไม่ไปต่อ และทั้ง 7 ช่องจะได้รับเงินชดเชยจาก กสทช. รวมอยู่ที่ 2,932.65 ล้านบาท
ทั้งทยอยยุติการออกอากาศตั้งแต่เดือน ส.ค. และจอดำครบ 7 ช่องในเดือน ต.ค.2562 จนขณะนี้เหลือ 15 ช่องที่ยังประกอบกิจการและออกอากาศอยู่
ใช้มาตรฐานดีเซล‘บี 10’
กระทรวงพลังงานประกาศใช้มาตรฐานน้ำมันดีเซล หมุนเร็ว บี 10 (มีส่วนผสมปาล์มบริสุทธิ์ 100%) เป็นน้ำมันดีเซลหลักของเมืองไทย ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2563 โดยทุกคลังน้ำมันของผู้ค้าน้ำมันต้องมีการผลิตน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 10 ทุกแห่ง และ วันที่ 1 มี.ค.2563 ทุกสถานีบริการน้ำมันจะต้องมีน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 10 จำหน่ายในทุกสถานีทั่วประเทศ ขณะที่น้ำมันดีเซลบี 7 และบี 20 จะเป็นน้ำมันทางเลือก
ด้วยมาตรการจูงใจให้ส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 10 ถูกกว่าราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วบี 7 ในอัตรา 2 บาทต่อลิตร
ช่วยแก้ปัญหาราคาปาล์มตกต่ำอยู่ที่ 2 บาทต่อกิโลกรัม (ก.ก.) ทะยานขึ้นเป็น 5-5.30 บาท/ก.ก. และราคาน้ำมันปาล์มขยับขึ้นไปที่ 28 บาทต่อก.ก. สูงสุดเป็นประวัติการณ์
‘ไฮสปีดเทรน’รัฐ-เอกชน
รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) นับเป็นโครงการรถไฟความเร็วสูงร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนเส้นทางแรกของ ประเทศไทย โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ลงนามร่วมลงทุนกับกลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) และพันธมิตร เมื่อวันที่ 24 ต.ค.2562
เป็นไฮสปีดเทรนที่มีมูลค่าลงทุนสูงที่สุดใน ประเทศราว 224,544 ล้านบาท มีระยะทางรวม 220 กิโลเมตร รถไฟเส้นนี้จะวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดที่ 250 ก.ม./ชั่วโมง ผ่าน 5 จังหวัด กรุงเทพฯ สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง
เก็บค่าโดยสาร 115-490 บาท คาดว่าเปิดให้บริการปี 2566