นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม หรือบัตรแมงมุม ว่า ที่ประชุมเร่งรัดให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้า MRT สีน้ำเงิน และสีม่วง, บริษัท รถไฟฟ้า รฟท. จำกัด ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ และบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ผู้ให้บริการรถไฟฟ้า BTS เร่งปรับปรุงระบบหัวอ่านบัตรโดยสารให้สามารถอ่านข้อมูลบัตรรถไฟฟ้าได้ทุกระบบ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชาที่ถือบัตรรวม 14.6 ล้านใบ สามารถถือบัตรใบเดียวเดินทางได้ทุกระบบ เบื้องต้นทั้ง 3 หน่วยงานจะใช้เงินรวมทั้งสิ้น 450 ล้านบาท ในการปรับปรุงระบบหัวอ่านให้สามารถรองรับได้ทุกบัตร โดย รฟม. จะใช้เงิน 225 ล้านบาท บีอีเอส ใช้ 120 ล้านบาท และแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ใช้ 105 ล้านบาท

โดยระหว่างนี้ทั้ง 3 หน่วยงาน รฟม. บีทีเอสและแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ จะต้องกลับ ไปหาข้อยุติเรื่องข้อตกลงทางธุรกิจในบัตรของและละหน่วยงานว่าจะจัดการอย่างไร เช่น เรื่องอัตราการเติมเงินในบัตร อัตราส่วนลดในบัตรที่ให้แก่กลุ่มคนประเภทต่างๆ เช่น คนชรา เด็กนักเรียน เนื่องจากแต่หน่วยงานกำหนดอัตราแตกต่างกัน จะต้องไปตกลงวิธีการให้ได้ข้อยุติเพราะต่อไปจะใช้บัตรใบเดียว ซึ่งตนเห็นว่าตามหลักสากลแล้วแต่ละหน่วยงานจะต้องให้สิทธิ์ส่วนลดในบัตรโดยสารอัตราที่เท่าเทียมกัน แต่ทั้งนี้ จะต้องไม่กระทบต่อเงื่อนไขในสัญญาสัมปทานของเอกชนด้วย ตั้งเป้าให้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมกันในเดือนก.พ. คาดว่าระบบจะแล้วเสร็จและสามารถเปิดใช้บริการได้เดือนมิ.ย.นี้

นายชัยวัฒน์กล่าวว่า สำหรับแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ นั้นค่อนข้างน่าเป็นห่วงมาก เพราะยังพัฒนาระบบหัวอ่านบัตรไม่สำเร็จ โดยบริษัทผู้รับรับจ้างได้ทำงานเกินอายุสัญญามากว่า 11 เดือนแล้ว จึงได้ขอให้ แอร์พอร์ตลิงก์ ไปทบทวนและตัดสินใจว่าจะดำเนินการจ้างผู้รับจ้างรายเดิมต่อไปอีกหรือไม่ เนื่องจากในช่วงการทดสอบอ่านบัตรในห้องทดลอง 3 ครั้งที่ผ่านมา เครื่องไม่สามารถอ่านบัตรได้เลย นอกจากนี้ ตามหลักเกณฑ์พัสดุการจัดซื้อจัดจ้างยังมีการกำหนดว่าหากหน่วยงานใดจัดเก็บค่าปรับส่งงานล่าช้าเกินกว่า 10% ของมูลค่างานแล้วก็มีอำนาจที่จะพิจารณาขอเลิกสัญญากับผู้รับจ้างได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน