นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ทียู เปิดเผยว่า ผลประกอบการประจำปี 2562 ทียูมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ 5,218 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.5% จากปี 2561 รายงานกำไรสุทธิภายหลังจากหักรายพิเศษอยู่ที่ 3,816 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรขั้นต้นเติบโต 6.4% คิดเป็นเงินมากกว่า 2 หมื่นล้านบาท กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมและค่าจัดจำหน่าย ทำสถิติสูงเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 9.2% จากปีก่อนหน้า สะท้อนถึงการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยด้านความสามารถในการทำกำไร

ทั้งนี้ จากเงินบาทที่แข็งค่า ส่งผลให้บริษัทในเครือมีรายได้ 126,270 ล้านบาท ลดลง 5.3% ขณะที่ปริมาณการขายเติบโต 1.9% เป็นผลจากธุรกิจอาหารทะเลแช่เย็นและแช่แข็งและธุรกิจที่เกี่ยวข้องที่มีปริมาณการขายเติบโตขึ้น 12.8% และธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่ามีปริมาณการขายเติบโตขึ้น 3.2% กำไรจากการดำเนินงานในปี 2562 อยู่ที่ 5,642 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.8% สัดส่วนของยอดขายตามภูมิภาค ยอดขายจากทวีปอเมริกาเหนือมีสัดส่วน 41% ยอดขายจากทวีปยุโรป 28% ยอดขายจากประเทศไทย 12% และตลาดอื่นๆ ได้แก่เอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง แอฟริกา และอเมริกาใต้ 18%

ส่วนอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนลดลงอยู่ที่ระดับ 1.07 เท่า ลดลงจาก 1.40 เท่าในปี 2561 อันเป็นผลจากการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนมูลค่า 6 พันล้านบาท ในไตรมาสสุดท้ายของปีประกอบกับการลดหนี้สินจากกระแสเงินสดอิสระจำนวน 3 พันล้านบาท โดย ปี 2562 จะปันผล 47 สตางค์/หุ้น กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 17.2% เมื่อเทียบกับปี 2561โดยในปี 2562 ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 25 สตางค์/หุ้น

นวัตกรรมยังคงเป็นหัวใจสำคัญในการเติบโตของไทยยูเนี่ยนในอนาคตบริษัทจึงมุ่งมั่นนำเทคโนโลยีล่าสุดมาพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ผู้บริโภค ในปีที่ผ่านมาไทยยูเนี่ยนได้เปิดศูนย์นวัตกรรมไทยยูเนี่ยนขึ้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งมีนักวิจัยกว่า 120 ชีวิตและในจำนวนนี้มีนักวิจัยระดับปริญญาเอกจากทั่วโลกมากกว่า 40 ท่านซึ่งเชี่ยวชาญในสาขาเทคโนโลยีชีวภาพทางทะเล วิศวกรรม ยา อาหาร และสารอาหาร

นอกจากนี้ ทียูยังได้ร่วมกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติและคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลก่อตั้งโครงการสเปซ-เอฟ โครงการบ่มเพาะและเร่งการเติบโตของสตาร์ตอัพนวัตกรรมอาหารเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมใหักับอุตสาหกรรม โดยในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ได้จัดงานพบปะนักลงทุนให้กับ 23 สตาร์ตอัพจาก 6 ประเทศได้แก่ เยอรมัน อินเดีย นอร์เวย์ สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา และประเทศไทยและในไตรมาสแรกของปี 2563 จะมีการจัดแสดงผลงานหรือ Demo Day ในวันที่ 5 มี.ค.นี้ อีกด้วย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน