นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการคนใหม่ เปิดเผยว่า สภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวยอมรับว่าเป็นห่วงจีดีพีของไทยที่เติบโตต่ำที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงภาวะหนี้ครัวเรือนที่สูงเป็นอันดับ 3 ในเอเชียแปซิฟิก รองจากออสเตรเลียและมาเลเซีย ทำให้ต้องเร่งวางกลยุทธ์รับมือทั้งระยะสั้นและยาว ด้วยการสร้างความแข็งแกร่งให้กับตลาดไมซ์ในประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจ เช่น ญี่ปุ่น ประสบความสำเร็จในการสร้างฐานการประชุมและจัดงานของภาคธุรกิจในประเทศ ทำให้ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดต่างประเทศ
ในปี 2560 ทีเส็บคาดการณ์นักเดินทางกลุ่มไมซ์จะสร้างรายได้รวม 1.55 แสนล้านบาท แบ่งเป็นตลาดต่างประเทศ 1.01 แสนล้านบาท และตลาดในประเทศ 5.4 หมื่นล้านบาท หรือยังต่างกันราว 50% แต่ภายใน 4 ปีที่เข้ามาบริหารงานนั้น ต้องการเพิ่มสัดส่วนรายได้ตลาดในประเทศให้เป็น 50% เท่ากับตลาดต่างประเทศ
ผลสำรวจอันดับของไทยในตลาดไมซ์นานาชาติ โดยสมาคมประชุมนานาชาติของโลก (ICCA) ไทยมีจำนวนการจัดงานมากเป็นอันดับ 27 ของโลกที่ 151 งานต่อปี ก่อนจะปรับขึ้นเป็นอันดับ 24 ในปีที่ผ่านมา แต่หากเทียบสถิติของเมืองที่มีการจัดประชุมทั่วโลก กรุงเทพฯ อยู่อันดับที่ 16 และมีจำนวนกว่า 103 งาน ทิ้งห่างไมซ์ซิตี้ ได้แก่ เชียงใหม่ ที่มีจำนวนการจัดเพียง 16 งานต่อปี และพัทยา จำนวน 10 งานต่อปี แสดงให้เห็นถึงการกระจุกตัวในกรุงเทพฯ เป็นส่วนใหญ่
เบื้องต้นมองพื้นที่การพัฒนาเป้าหมายก่อน ได้แก่ เชียงใหม่, ขอนแก่น ซึ่งมีการพัฒนาศูนย์ประชุมขนาดใหญ่รองรับอยู่แล้ว รวมถึงพื้นที่ภาคตะวันออก อาทิ พัทยา ระยอง เพื่อให้สอดคล้องกับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ภายใต้หลักการนี้ ทีเส็บ อาจจะเป็นผู้ช่วยเหลือนำผู้จัดงานมืออาชีพเข้าไปช่วยบุกเบิกการจัดงานก่อน แต่ระยะยาวทุกภาคส่วน เช่น หอการค้าจังหวัด, นักธุรกิจ และเทศบาลเมืองในพื้นที่มีศักยภาพในการจัดงานและยกระดับงานของตัวเองในที่สุด
นายจิรุตถ์ กล่าวว่า เป้าหมายทีเส็บต่อไปจะต้องชัดเจนมากขึ้นว่า เป็นองค์กรที่ต่างจากการท่องเที่ยว ตรงที่มีความสัมพันธ์และมีทิศทางเดียวกับเศรษฐกิจของประเทศโดยตรง เมื่อเศรษฐกิจขยายตัวก็มีโอกาสเติบโตสูง แต่หากซบเซาก็จะมีผลต่อตลาดไมซ์ทันที เพราะตลาดที่เข้ามามีกิจกรรมในเชิงธุรกิจเป็นหลัก และวัตถุประสงค์ด้านท่องเที่ยวเป็นรอง ให้ความสำคัญกับการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอที) โดยต่อไปจะมีการเวิร์กช็อปทุกแผนกภายในองค์กร เพื่อปรับปรุงระบบไอทีร่วมกัน นำไปสู่การสร้างศูนย์ข้อมูลอัจฉริยะ (MICE Intelligence Center) เป็นเครื่องมือให้ภาคธุรกิจเข้าถึงข้อมูลการตลาดที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจ ซึ่งเป็นการยกระดับพัฒนาความเข้มแข็งของอุตสาหกรรมที่สำคัญอีกทางหนึ่ง
ขณะเดียวกันนอกจากการรักษาฐานตลาดเดิมแล้ว จะขยายตลาดใหม่ที่มีศักยภาพด้วย เช่น อินเดีย เป็นต้น พร้อมกับการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการจัดงานระดับนานาชาติในไทย โดยล่าสุดประสบความสำเร็จในการนำงาน Asean Side of the Doc ซึ่งเป็นเทศกาลซื้อขายภาพยนตร์สารคดีระดับอาเซียนมาจัดในกรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 7-10 พ.ย.นี้