นายธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการจัดตั้งกองทุนพัฒนาเสถียรภาพราคายาง 1,200 ล้านบาท ภายใต้ บริษัท ร่วมทุนยางพาราไทย จำกัด ว่า ล่าสุดมีการประชุมอย่างเป็นทางการครั้งแรก เพื่อกำหนดแนวทางในการดำเนินการและการบริหารจัดการกองทุน ที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่วมกันให้กองทุนฯ เข้าลงทุนซื้อยางทั้งในตลาดซื้อขายยางจริงจากตลาดกลางทั้ง 6 แห่งของ กยท. ที่รับซื้อผลผลิตจากเกษตรกร และสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางอยู่แล้ว ได้แก่ หนองคาย บุรีรัมย์ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา และยะลา และจะมีการซื้อขายผ่านทางตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ทีเฟ็กซ์) โดยจะเริ่มดำเนินการได้ในต้นสัปดาห์หน้า เพื่อผลักดัน และรักษาให้ราคายางอยู่ในระดับที่เหมาะสม
ขณะนี้ราคาที่ก็ปรับตัวขึ้นจาก 50 บาท/กิโลกรัม (ก.ก.) มาอยู่ที่ 58 บาท/ก.ก. แล้ว ถือเป็นที่ทิศทางที่ดีขึ้นอย่างมาก จึงอยากฝากไปยังผู้ที่นำเสนอข่าวโจมตีราคายางต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเด็นล่าสุดนำเสนอว่า บริษัทรายใหญ่จะไม่ซื้อยางที่ไร้เอกสารสิทธิ์ว่า มีจุดประสงค์อย่างไรกันแน่ ต้องการให้ราคายางปรับตัวขึ้น หรือ ต้องการป่วนราคายางกันแน่ เพราะการนำเสนอข่าวดังกล่าวล้วนเป็นข่าวเชิงลบต่อราคาในประเทศทั้งสิ้น และเรื่องดังกล่าว กยท. มีความพยายามในการยกระดับมาตรฐานยางให้ได้ผ่านการรับรองเรื่องถิ่นที่อยู่ (เอฟเอสซี) มาโดยตลอด ขณะนี้ดำเนินการไปแล้วใน 4 จังหวัด
นายไชยยศ สินเจริญกุล นายกสมาคมยางพาราไทย และกรรมการบริหาร บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การดำเนินงานครั้งนี้ เป็นความร่วมมือกันระหว่างภาคเอกชนกับภาครัฐ โดยเฉพาะมีการยางแห่งประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง ซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมแปรรูปยางขั้นกลางเพื่อการส่งออกมีความเข้มแข็งขึ้นมา และส่งผลไปยังผู้ผลิตต้นน้ำ ซึ่งเป็นเกษตรกรชาวสวนยางจะสามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า กระบวนการทำงานของกองทุนเป็นอย่างไร ผลที่จะเกิดขึ้นแก่ทุกภาคส่วนโดยเฉพาะเกษตรกรจะเป็นอย่างไร
โดยวันนี้ได้มีการร่วมมือและผนึกกำลังกันแล้ว คาดว่าน่าจะส่งผลดีต่อประสิทธิภาพของราคาโดยเฉพาะในตลาดล่วงหน้า เช่น ญี่ปุ่น จีน หรือสิงคโปร์ ซึ่งคิดว่า ต่อไปนี้ประเทศไทยน่าจะเทียบเท่ากับประเทศเหล่านี้ได้ เพราะความร่วมมือครั้งนี้ เป็นการสร้างศักยภาพของประเทศเพื่อให้ต่างประเทศเข้าใจว่ากระบวนการห่วงโซอุปทาน (Supply chain) และห่วงโซ่คุณค่า (Valued Chain) ของไทยก็มีบทบาทหนึ่งในนั้นด้วย
“อย่างน้อยเสียงเราก็ดัง ซึ่งทำให้รู้ว่า ไทยก็มีตัวตนอยู่ เพราะประเทศไทยเป็นประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ที่มีพืชผลทางการเกษตรออกจากสวนที่จะนำไปสู่อุตสาหกรรมรถยนต์หรืออุตสาหกรรมยางพาราอื่นๆ ต่อไป แต่หากมีการเอาเปรียบทางราคา ก็จะส่งผลดีต่อวัตถุดิบได้ในอนาคต”