นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนการลงทุนในช่วง 5 ปี (2560-2564) จะเน้นดำเนินธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป แม้รัฐบาลจะมีนโยบายเปิดเสรีนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ทาง ปตท. ยังมั่นใจที่จะแข่งขันอยู่ในธุรกิจนี้แน่นอน

“เรามั่นใจว่าจะสามารถจัดหาแอลเอ็นจีเข้ามาแข่งขันในราคาถูกได้ แม้รัฐบาลจะมอบหมายให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และเปิดให้เอกเชนรายอื่นเข้ามาแข่งขันมากขึ้น ซึ่งปตท. จะดำเนินการแยกการจัดทำบัญชีในส่วนของการบริหารท่อก๊าซเพื่อให้มีผู้นำเข้ารายอื่นเข้ามาใช้ท่อรองรับการเปิดเสรีแอลเอ็นจีในอนาคต”

นายเทวินทร์ กล่าวว่า ในปี 2560 ปตท. มีแผนขยายคลังแอลเอ็นจีจาก 5 ล้านตันต่อปี เป็น 10 ล้านตันต่อปี และปี 2562 จะขยายเป็น 11.5 ล้านตันต่อปี ส่วนปี 2565 มีแผนสร้างคลังแอลเอ็นจีแห่งที่ 2 ปริมาณ 7.5 ล้านตันต่อปี

ขณะที่ธุรกิจน้ำมันแม้ปัจจุบัน ปตท. จะมีสัดส่วนกำไรไม่มาก เนื่องจากแนวโน้มการใช้รถยนต์ไฟฟ้ากำลังเข้ามาแทนที่ แต่ ปตท. ยังมั่นใจว่าจะสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ที่ 40% เป็นอันดับหนึ่งของประเทศ โดยธุรกิจน้ำมันยังคงเป็นรายได้หลักของบริษัท ประกอบกับยังมีแผนลงทุนสถานีบริการน้ำมันในต่างประเทศ เช่น ลาว กัมพูชา และฟิลิปปินส์

ในส่วนของธุรกิจระบบกักเก็บไฟฟ้าสำรองนั้น ได้ให้บริษัทลูกของปตท. ร่วมมือกับบริษัทแบตเตอรี่ชั้นนำของสหรัฐอเมริกาลงทุนผลิตแบตเตอรี่ราคาถูกแต่มีศักยภาพสูง เพื่อสามารถรองรับการกักเก็บไฟฟ้าพลังงานทดแทนทั้งในบ้านเรือนและรถยนต์ไฟฟ้า

นอกจากนี้ ปตท. ยังเน้นการปรับปรุงโรงกลั่นและปิโตรเคมี และลงทุนในธุรกิจใหม่ เช่น อุตสาหกรรมชีวภาพ หุ่นยนต์อุตสาหกรรม รวมทั้ง โครงการพัฒนาพื้นที่วังจันทร์วัลเล่ย์ ในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) เพื่อรองรับการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : อีอีซี)

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน