นางสุชาดา ธีรวชิรกุล นายกสมาคมการขายตรงไทย เปิดเผยว่าภาพรวมธุรกิจขายตรงไทยในปี 2560 มีการเติบโตขึ้นเล็กน้อย 2-3% จาก 93,333 ล้านบาท ในปี 2559 เป็น 95,000 ล้านบาท และในปี 2561 คาดหวังว่าการเติบโตจะดีกว่าปีนี้หรืออยู่ที่ราว 5% ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีสัดส่วนการขายสูงที่สุด คือ ผลิตภัณฑ์สุขภาพ-เสริมอาหาร มีสัดส่วนกว่า 30% ผลิตภัณฑ์ความงาม 28% แนวโน้มไปสุขภาพเยอะ และขายตรง เป็นช่องทางที่ลงตัวกับสินค้าเพื่อสุขภาพ เนื่องจากเป็นการทำตลาดแบบเพื่อนแนะนำเพื่อน
“ธุรกิจขายตรงไทยมีการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิตอลได้รวดเร็ว โดยสามารถใช้เครื่องมือออนไลน์มาขับเคลื่อนให้ธุรกิจขายตรงเติบโต อีกทั้งยุคดิจิตอลมีการสร้างคอมมิวนิตี้ อยู่รวมกันด้วยจากพื้นนฐานที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน ธุรกิจขายตรงซึ่งมีลักษณะงานเป็นคอมมิวนิตี้อยู่แล้ว ทำให้สามารถเติบโตได้อย่างเป็นธรรมชาติ รวมถึงธุรกิจขายตรงมีสินค้าที่หลากหลาย ครอบคลุมสินค้าหลายประเภท ตลอดจนคนรุ่นใหม่มีความต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 25-35 ปี หรือกลุ่มมิลเลเนียน ซึ่งปัจจุบันธุรกิจขายตรงบางแห่งมีสัดส่วนผู้ประกอบการขายตรงในกลุ่มมิลเลนเนียนสูงถึง 8-10% เพิ่มขึ้นจาก 3 ปีที่ผ่านมาที่มีสัดส่วนไม่เกิน 4% ยิ่งไปกว่านั้นช่องทางขายตรงยังเป็นช่องทางที่ผู้ขายใกล้ชิดผู้บริโภค จึงทำให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวในยุคดิจิตอลได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเพื่อสุขภาพ ที่ห้ามโฆษณาสรรพคุณ แต่ยังอาศัยช่องทางสื่อสารผ่านสังคมออนไลน์ อาทิ แอพพลิเคชั่นไลน์ เพื่อแนะนำสินค้าได้”
นางสุชาดา กล่าวและว่า ภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตช้า ก็ยังเป็นปัจจัยลบที่ส่งผลต่อกำลังซื้อที่ลดลงในบางกลุ่ม โดยเฉพาะตลาดล่างทำให้เติบโตได้ยาก ส่วนตลาดบนยังเติบโตได้ นอกจากนี้ การแข่งขันสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มบำรุงผิวและเครื่องสำอาง ซึ่งมีสินค้าเกิดใหม่ตลอดเวลา ก็เป็นอีกปัจจัยที่กดดันตลาดธุรกิจขายตรงด้วยเช่นกัน ส่วนธุรกิจแชร์ลูกโซ่มีผลกระทบต่อธุรกิจขายตรงน้อยลงกว่าในอดีต
พร้อมกันนี้ ล่าสุดสมาคมธุรกิจขายตรงไทย ได้รับคัดเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมระดับโลก ”WFDSA 2020 World Congress” ครั้งที่ 16 ที่จะจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมประชุมร่วม 1,000 คน จากกลุ่มบริษัทผู้ประกอบการธุรกิจขายตรงทั่วโลก ที่เป็นสมาชิกของสมาพันธ์การขายตรงโลก และคาดว่าจะมีเงินสะพัดกว่า 100 ล้านบาท
