วันที่ 20 พ.ย. ที่โรงแรมอนันตราสยาม กรุงเทพฯ ในงานจัดประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ หัวข้อ Competitiveness and Inclusive Growth: Navigating towards Thailand 4.0 จัดโดยกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับสภาธุรกิจโลก (WEF) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว. พาณิชย์ เปิดเผยว่า สิ่งสำคัญที่มีการอภิปรายในที่สัมนาคือ การพัฒนาขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศให้ดีขึ้นทุกๆ ด้าน สู่การเป็นประเทศรายได้สูง แม้ว่าผลการจัดอันดับดัชนีขีดความสามารถการแข่งขันของโลก ปี 2560-2561 จาก WEF ไทยขยับอันดับขึ้นมาอยู่ที่ 32 จาก 34 เมื่อปีก่อนหน้า จาก 137 ประเทศทั่วโลก และ WEF มีข้อเสนอแนะในที่ประชุมที่ไทยต้องพัฒนาต่อให้ดีขึ้น คือ การทำให้ประเทศปราศจากคอร์รัปชั่นหรือลดลงทั้งในส่วนของรัฐบาล สถาบันรัฐและเอกชน การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา มีการพัฒนาและยกระดับด้านนวัตกรรม การส่งเสริมด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การอำนวยความสะดวกทางการค้าและการทำธุรกิจให้ง่ายขึ้น
ด้านนายจัสติน วู้ด หัวหน้าฝ่ายเอเชีย แปซิฟิก ของ WEF กล่าวว่า ในระยะยาวไทยยังมีจุดอ่อนที่ต้องเร่งปรับปรุงอีกหลายด้านสำคัญ ได้แก่ 1. การพัฒนาด้านสถาบันเพื่อให้มีธรรมาภิบาล ครอบคลุมถึงเรื่องความปลอดภัยและทุนทางสังคม การตรวจสอบและการถ่วงดุลอำนาจ ธรรมาภิบาลของรัฐ และประสิทธิภาพงานด้านสาธารณ
2. การปรับหรือลดกฎระเบียบเพื่อสร้างความมีประสิทธิภาพของตลาดและสินค้า ครอบคลุมเรื่องความสามารถแข่งขันในประเทศและต่างประเทศ 3. การสร้างความพร้อมทางเทคโนโลยีและการปรับตัว เช่น การทำโครงสร้างพื้นฐานและเครือข่ายให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางเทคโนโลยีและอินเทอร์เน็ตอย่างทั่วถึง 4. การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรม รวมถึงส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนามากขึ้น ให้เศรษฐกิจประเทศขับเคลื่อนด้วยความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม และ 5. การพัฒนาการศึกษาและทักษะฝีมือ
“ขณะที่เรื่องคอร์รัปชั่น นับว่าเป็นปัญหาที่มีอยู่ในทุกประเทศ อยู่ที่ว่าแต่ละประเทศจะมีระดับของปัญหานี้มากน้อยแค่ไหน กรณีของไทยอันดับการคอร์รัปชั่นอยู่ในระดับกลางเมื่อเทียบกับประเทศทั่วโลก การคอร์รัปชั่นนั้นส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนและภาคธุรกิจที่จะเข้ามาลงทุน”นายจัสตินกล่าว
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการหารือกับซีอีโอที่มาประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ หัวข้อ Competitiveness and Inclusive Growth: Navigating towards Thailand 4.0 ว่า เราได้เสนอให้ WEF เพิ่มการพิจารณาภาคบริการด้วยเนื่องจากมีสัดส่วนสูงถึง 60% ของจีดีพี ซึ่งการประชุมร่วมกันวันนี้เป็นโอกาสดีที่จะได้รับทราบและหลักเกณฑ์ใหม่ในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพราะประเทศมีจุดแข็งในภาคบริการ ก็น่าจะเป็นข้อดีในการถูกปรับลำดับให้ดีขึ้น ซึ่งตนได้ย้ำกับซีอีโอกับบริษัทเอกชนเหล่านี้ว่า ต้องมีความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้มีการจัดลำดับความสามารถด้านการแข่งขันในลำดับที่ดีขึ้น
ซึ่งรัฐบาลโดยนายกฯ มีความตั้งใจที่จะทำในปีหน้า และเร่งให้ไทยมีความพร้อมกับนโยบาย 4.0 และ อีอีซี ก็จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในปีหน้า หากทำได้ดีก็จะส่งผลต่อการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตไม่น่ารัฐบาลไหนเข้ามาก็จะสามารถดำเนินการได้ต่อไปได้ โดยรัฐบาลย้ำว่าได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและยกระดับการพัฒนาในทุกภาคไม่ให้กระจุกตัวอยู่ในภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง โดยทิศการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในปีหน้าจะเน้น พัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นเพื่อให้ชุมชนมีรายได้ดีขึ้นเพื่อให้เกิดกำลังซื้อ ทำให้เกิดอำนาจการจับจ่ายในชุมชนและลดการพึ่งการส่งออกโดยหน่วยงานเศรษฐกิจจะร่วมมือกับกระทรงงมหาดไทย ดึงงบท้องถิ่นมาใช้ในการพัฒนาชุมชุน โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการเสนอโครงการพัฒนาท้องถิ่น
นอกจากจะเน้นในเรื่องกาาแก้ปัญหาสินค้าเกษตรให้มีเสถียรภาพ ทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่ดี ซึ่งรัฐบาลนี้ยืนยันว่าจะเน้นดูแลผู้มีรายได้น้อยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งการช่วยเหลือจากภาครัฐจะไม่ใช่เป็นการให้เปล่า แต่ต้องทำให้มีรายได้น้อยมีอาชีพและรายได้ยั่งยืน
ส่วนการปรับ ครม.ถือว่าเป็นเรื่องปกติทางการเมือง ซึ่งนายกรัฐมนตรีระบุว่าผู้ที่ถูกปรับออกไม่ได้หมายความว่าทำงานไม่ดีแต่เป็นการปรับเพื่อความเหมาะสม
นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า WEF บอกว่าไทยมีการพัฒนาองค์รวมดีที่สุดในภูมิภาค การพัฒนาลดความเหลื่อมล้ำเป็นลำดับดีขึ้น เห็นได้จากการเติบโตของฐานรากดีขึ้น ข้อมูลกรมพัฒนาชุมชนระบุว่าสินค้าโอท็อปเติบโตอย่างรวดเร็ว ในปีนี้ถึง 23% เทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ที่เติบโตเฉลี่ยที่ 3.5% โดยสินค้าชุมชนมีอัตราโตสูงขึ้นเรื่อยๆมีศักยภาพอีกมากเพราะคิดเป็นเพียง 1% ของจีดีพีที่ประมาณ 13 ล้านล้านบาท นับว่าสอดคล้องกับนโยบายรัฐที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
