นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือเอสซีจี เปิดเผยว่า ประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกล่าสุดโดยเฉพาะที่เกิดขึ้นกับหลายประเทศในภูมิภาคอาเซียนได้รับผลกระทบค่อนข้างหนัก ซึ่งยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของเอสซีจีทั้งในและต่างประเทศ โดยเบื้องต้นประเมินมาตรการล็อกดาวน์ 13 จังหวัด เพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลประมาณ 20% เนื่องจากรัฐมีคำสั่งปิดแคมป์คนงานก่อสร้างในพื้นที่ดังกล่าวเป็นเวลา 1 เดือน

“สถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกมีความไม่แน่นอนสูงมาก โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนที่เผชิญกับเชื้อกลายพันธุ์เดลต้า ทำให้มีการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น หลายประเทศจึงบังคับใช้มาตรการคุมเข้มอีกครั้ง และประเมินว่า 3-4 เดือนข้างหน้ายังคงเป็นเช่นนี้ต่อเนื่อง ขณะที่ระบบสาธารณสุขไม่สามารถรองรับได้ การอุปโภคบริโภคได้รับผลกระทบไปถึงไตรมาส 4 ของปีนี้แน่นอน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างหารือกันว่าจะขอเปิดไซต์งานก่อสร้างบางแห่งที่มีมาตรฐานในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้สามารถกลับมาเปิดดำเนินการก่อสร้างได้ เพราะเชื่อว่าตลาดกลุ่มนี้ยังไปได้”

โดยในส่วนของเอสซีจีได้ยกระดับความเข้มข้นจากมาตรการ “ไข่แดง ไข่ขาว” แยกพนักงานในสายการผลิตไม่ให้สัมผัสกับกลุ่มพนักงานทั่วไป สู่การทำ “Bubble & Seal” ในโรงงานทั้งในและต่างประเทศ ด้วยการตรวจเชิงรุกอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมพื้นที่ที่มีความเสี่ยง พร้อมจัดที่พักให้ภายในโรงงาน ควบคู่กับแนะนำให้พนักงานที่มีอาการป่วยกักตัวที่บ้านตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อโควิด-19 รวมทั้งจัดเตรียมหอผู้ป่วยเฉพาะกิจสำหรับพนักงานที่ป่วยให้เข้าถึงการรักษาที่ปลอดภัยอย่างรวดเร็วที่สุด ทำให้เอสซีจีสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ได้ปรับแผนการดำเนินธุรกิจ ทั้งการปรับสัดส่วนการขาย กระจายสินค้าไปยังตลาดที่ได้รับผลกระทบน้อยทั้งในและต่างประเทศ เน้นการขายผ่านช่องทางออนไลน์ ขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ การสร้างความร่วมมือใช้นวัตกรรมเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง เปลี่ยนขวดบรรจุภัณฑ์พลาสติกใช้แล้วจากครัวเรือนหมุนเวียนกลับมาผลิตเป็นขวดบรรจุภัณฑ์ใหม่ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ทำให้ผลประกอบการของเอสซีจีในไตรมาส 2 และครึ่งปีแรกของปี 2564 ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว

นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของเอสซีจีในไตรมาส 2/2564 มีกำไรสำหรับงวด 17,136 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 83% จากรายได้จากการขายที่ 133,555 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% เนื่องจากราคาขายและส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก ตามการปรับตัวของราคาน้ำมันโลก รวมถึงผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของทุกกลุ่มและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับมีกำลังการผลิตส่วนเพิ่ม ทำให้ปริมาณขายยังอยู่ในระดับสูง ช่วยลดผลกระทบจากปัญหาเรื่องการขนส่ง

สำหรับผลประกอบการครึ่งแรกของปี 2564 เอสซีจีมีกำไรสำหรับงวด 32,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 96% มีรายได้จากการขายรวม 255,621 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% โดยครึ่งปีแรกเอสซีจีมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม 86,861 ล้านบาท คิดเป็น 34% โดยมีสัดส่วนของการพัฒนาสินค้าใหม่คิดเป็น 15% และโซลูชันบริการ 5% ของรายได้จากการขายรวม เช่น โซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์ โซลูชันบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ ส่วนรายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทยครึ่งแรกของปี 2564 มีทั้งสิ้น 112,272 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% คิดเป็น 44% ของยอดขายรวม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน