นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รมช.คมนาคม เปิดเผยภายหลังเชิญหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดมารับมอบนโยบาย ว่า สำหรับเรื่องการจัดซื้อและซ่อมบำรุงรถโดยสารประจำทางที่ใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (รถเมล์เอ็นจีวี) 489 คัน ราคากลาง 4,020 ล้านบาท ด้วยวิธีคัดเลือก ซึ่งจะเปิดให้เอกชนเสนอราคาในวันที่ 7 ธ.ค. นั้น ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล ซึ่งสิ่งที่ตนยึดถือและเห็นว่าสำคัญที่สุดคือการนำรถใหม่มาให้บริการประชาชน เพราะขณะนี้ล่าช้าไปมาก ซึ่งจะต้องรอดูผลในวันที่ 7 ว่าจะเป็นอย่างไรแต่ต้องการให้มีการนำรถเมล์ใหม่มาบริการประชาชนให้เร็วที่สุด

“ตามทีโออาร์ครั้งนี้ระบุว่าให้ผู้ชนะการประมูลต้องส่งมอบรถให้ขสมก.ภายใน 150 วันหลังลงนามในสัญญา ซึ่งหากการประมูลครั้งนี้สามารถได้ตัวผู้ชนะการประมูลได้ จึงตั้งเป้าหมายที่จะให้เด็กนักเรียนมีรถเมล์ใหม่ใช้ได้ในช่วงเปิดเทอม หรือภายในเดือนพ.ค. 2561 โดย ขสมก. จะไม่ให้มีการขยายระยะเวลาการรับมอบรถอีกต่อไปแล้ว”

นายไพรินทร์กล่าวต่อว่า หากการประมูลจัดซื้อรถเมล์ครั้งนี้ไม่สำเร็จจะต้องมีพิจารณาว่าเกิดจากสาเหตุอะไร เพราะเป้าหมายสุดท้ายของรัฐบาลไม่ใช้การซื้อรถหรือซื้อรถเอ็นจีวี หรือซื้อรถแพงกว่านี้ไม่ได้ เป้าหมายสุดท้ายคือประชาชนผู้โดยสารต้องมีรถใหม่ใช้ เราต้องเอาประชาชนเป็นตัวตั้ง ที่เห็นรบราฆ่าฟันกันเรื่องนี้ ที่ผ่านมา ตนเป็นคนนอกมองแล้วไม่เข้าใจว่าวันนี้ประชาชนอยู่ตรงไหนของสมการนี้

อย่างไรก็ตาม หลังจากการจัดซื้อรถเมล์ล็อตนี้เสร็จสิ้น ตนอาจจะต้องให้ ขสมก. ทบทวนแนวทางการจัดซื้อรถเมล์ใหม่ทั้งหมด เพราะโครงการจัดหาเดิมจัดทำมานานหลายปีแล้ว ขณะที่ปัจจัยเรื่องต้นทุนราคาเชื้อเพลิงเปลี่ยนแปลงไป เบื้องต้นมองว่า เชื้อเพลิงเอ็นจีวียังเป็นเชื้อเพลิงที่ดีที่สุด แต่วันนี้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงก็ไม่แพงเหมือนในอดีต รวมทั้งแนวโน้มรถไฟฟ้าก็กำลังได้รับความนิยม จึงอาจจะถึงเวลาที่จะต้องทบทวนแผนการจัดซื้อรถเมล์ใหม่ด้วย

นายไพรินทร์กล่าวต่อถึงการแก้ไขปัญหาขาดทุนของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และขสมก. ว่า จะต้องขอรับทราบปัญหาของแต่ละหน่วยก่อน ตนมองว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือไม่มีอะไรที่จะขัดขวางการเจริญก้าวหน้าขององค์กร ยกเว้นบุคคลากรภายในองค์กร

สำหรับปัญหากรณีที่หลายหน่วยงานรัฐวิสาหกิจยังไม่มีผู้บริหารระดับสูงตัวจริง ส่วนใหญ่เป็นตำแหน่งรักษาการนั้น จะต้องดูว่าขาดแคลนหรือไม่ หรือมีปัญหาเรื่องข้อจำกัดด้านกฎหมายหรือไม่ ส่วนกรณีที่มีการแสดงความเป็นห่วงว่าบางหน่วยงานมีการสรรหาผู้บริหารระดับสูงหลายครั้ง แต่ยังไม่สามารถสรรหาคนที่เหมาะสมมาบริการงานได้ โดยต้องล้มการสรรหาซ้ำซากเช่นการบินไทนนั้น ตนมองว่าโดยสามัญสำนึกองค์กรทุกแห่งจำเป็นต้องมีผู้บริหารเบอร์ 1 ทำงาน

ส่วนกรณีที่การบินไทยใช้วิธีสรรหาดีดีรอบใหม่ ด้วยการใช้บริการของบริษัทจัดหาทรัพยากรบุคลากร (Head Hunter) นั้นในความเห็นส่วนตัวมองว่าไม่ได้เสียหาย อะไร เพราะสิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่วิธีการสรรหา แต่อยู่ที่ว่าสามารถคัดเลือกคนดีมาทำหน้าที่ได้หรือไม่ ซึ่งเราต้องเข้าใจว่าการบินไทยเป็นหน่วยงานที่มีงานที่ท้าทาย หากได้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถมาก็เป็นเรื่องที่ดี ที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาได้

อย่างไรก็ตาม ในวันเสาร์ ที่ 9 ธ.ค. นี้ จะเดินทางไปรับทราบมอบนโยบาย บริษัท ขนส่ง จำกัด และขสมก. จากนั้นจะทยอยเดินทางไปมอบนโยบายหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป อาทิ รฟท., กรมเจ้าท่า เป็นต้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน