รายงานข่าวการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า รฟท .เตรียมเปิดประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส โครงการจ้างพัฒนาระบบติดตามขบวนรถไฟและจัดการงานขนส่งสินค้า (Train Tracking and Freight Management System) วงเงินลงทุน 950 ล้านบาท เพื่อดำเนินการติดตั้งระบบ GPS และRFID บนขบวนรถโดยสารและขบวนตู้สินค้า ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ระบบจัดการขนส่งผู้โดยสาร สินค้า รวมทั้งระบบการวางแผนพนักงานประจำขบวนรถ ระบบจัดขบวนรถ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับระบบขนส่งโหมดอื่น

ทั้งนี้ รฟท. เปิดรับฟังความเห็นร่างทีโอออาร์ผ่านเว็บไซต์ไปเรียบร้อยแล้ว ระหว่างวันที่ 27 ก.ย.-1 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยมีผู้ประกอบการเสนอแนะความเห็นเกี่ยวกับเรื่องการกำหนดคุณสมบัติของระบบมา แต่ไม่น่าจะมีนัยต่อสาระสำคัญของร่าง คาดว่าจะนำเสนอร่างทีโอออาร์ให้ ผู้ว่าฯรฟท. พิจารณาอนุมัติได้ในช่วง 18-20 ต.ค.นี้

“ตั้งป้าจะเปิดประมูล ขายซองเอกสารประกวดราคาในเดือนพ.ย.นี้ ตลอดทั้งเดือน และจะเริ่มพิจารณาข้อเสนอในเดือนธ.ค. 2564 คาดว่าประมาณเดือนม.ค. 2565 จะนำเสนอผลการคัดเลือกให้บอร์ด รฟท. พิจารณาอนุมัติ จากนั้นจะเริ่มงานติดตั้งทันทีใช้เวลารวม 18 เดือน คาดว่าจะแล้วสร็จและเปิดให้บริการระบบใหม่ได้ช่วงกลางปี 2567”

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับโครงการดังกล่าวถือว่ามีความคุ้มค่าในการลงทุน โดยพบว่ามีอัตราผลตอบแทนทางการลงทุน (Inter Rate Return-IRR) อยู่ที่ 16.19% โดยมีมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (Net Present Value-NPV) อยู่ที่ 921 ล้านบาท สำหรับการติดตั้งระบบ จะเป็นการติดตั้งระบบ GPS และRFID บนขบวนรถไฟขนคน และขนสินค้า

ทำให้ รฟท. สามารถติดตามตำแหน่งขอหัวรถจักร ขบวนโดยสารและแคร่สินค้าได้แบบเรียลไทม์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริการจัดการติดตามขวนรถไฟขนคน ขนสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ แก้ปัญหาความล่าช้าในการขนส่ง เพราะจะมีการจัดทำระบบฐานข้อมูลกลางแสดงข้อมูลกำหนดเวลาเข้า-ออกสถานี รวมทั้งยังช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้บริการและประชาชนทั่วไปสามารถเข้าระบบเพื่อตรวจสอบข้อมูลการเดินทาง และการให้บริการในเส้นทางต่างๆ และประมานการเวลาถึงสถานีปลายทางด้วย

ทั้งนี้ จากการศึกษาพบว่า ระบบดังกล่าวจะช่วยลดมูลค่าความเสียหายจากความล่าช้าของเที่ยววิ่งรถโดยสารได้ ปีละ 311 ล้านบาท ลดมูลค่าความเสียหายเที่ยววิ่งสินค้าปีละ 97 ล้านบาท ขณะที่ผู้โดยสารจะพึงพอใจกับบริการมากขึ้นเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับบริการ คาดว่าจะทำให้จำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 5% หรือราว ปีละ 1.75 ล้านคน จากยอดคนโดยสารเฉลี่ยต่อปี 35.1 ล้านคน ส่งผลให้รายได้จากการโดยสารเพิ่มขึ้นปีละ 176 ล้านบาท จากรายได้ปกติปีละ 3,529 ล้านบาท

ส่วนปริมาณขนส่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2% จากปัจจุบันที่ขนส่งอยู่ที่ปีละ 11 ล้านตัน ส่งผลให้รายได้จากการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้นปีละ 44 ล้านบาท รวมทั้งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายเรื่องของน้ำมันเชื้อเพลิงได้ปีละ 10 ล้านบาทอีกด้วย

สำหรับคุณสมบัติของผู้ยื่นประกวดราคา จะต้องเป็นนิติบุคคลและมีผลงานในด้านการจัดทำระบบงานคอมพิวเตอร์ หรือพัฒนาระบบสารสนเทศมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 โครงการ ซึ่งเป็นผลงานที่สำเร็จในปี พ.ศ. 2554-2564 (10 ปี) โดยมีมูลค่าโครงการไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาทต่อสัญญา เสนอราคาให้เสนอราคาเป็นเงินบาทและยืนราคาไม่น้อยกว่า 90 วัน ตั้งแต่วันเสนอราคา

ส่วนเกณฑ์ในการพิจารณาคัดเลือกจะใช้เกณฑ์ราคากำหนดน้ำหนักเท่ากับ 30% ส่วนอีก 70% ที่เหลือ ประกอบด้วย 5 เกณฑ์ คือ ข้อมูลทั่วไปของผู้ยื่น ผลงานและระสบการณ์ บุคลากรและประสบการณ์บุคลากร แผนการดำเนินงานโครงการและกระบวนการพัฒนาระบบ และการสาธิตและการทดสอบ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน