นายสมคิด จตุศรีพิทักษ์ รองนายรัฐมนตรี เปิดเผยระหว่างการมอบนโยบายด้านการท่องเที่ยวและด้านการพัฒนาการท่องเที่ยวและกระจายรายได้ ว่า ปี 2561 จะต้องใช้ท่องเที่ยวเพื่อยกระดับฐานราก กระจายรายได้ลงชุมชน โดยท่องเที่ยวต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคเอกชน และท้องถิ่น เพื่อเตรียมรับการเข้ามาของนักท่องเที่ยวปีละมากกว่า 34 ล้านคน ให้กระทรวงร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ท้องถิ่น และหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ไปทำแผนกระจายเม็ดเงินของนักท่องเที่ยวลงฐานราก กระจายรายได้สู่เมืองรอง ภายใน 2 เดือน และเร่งสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่เพิ่มเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่กำลังเติบโต

ทั้งนี้ การช่วยกันยกระดับฐานรากให้แข็งแรง จากนี้จะไม่เริ่มที่สินค้าแต่จะเริ่มที่พื้นที่และชุมชน ทำอย่างไรรายได้จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวลงไปในชุมชน ตามนโยบายของรัฐบาลที่จะผลักดันให้ ปี 2561 ฐานรากต้องเข้มแข็ง ให้สร้างเรื่องราว สตอรี่ความเป็นมาของชุมชน แล้วสร้างสินค้าชุมชนขึ้นมาเพื่อเป็นจุดขาย ส่งเสริมอาหารถิ่นที่มีทุกจังหวัดให้มีจุดเด่น สร้างความน่าสนใจให้กับนักท่องเที่ยวให้ตรงกลุ่ม อาทิ กลุ่มวัยรุ่นที่ชอบเที่ยว ต้องสร้างแหล่งอำนวยความสะดวก ร้านกาแฟ ต้องสร้างให้จูงใจ มีจุดขาย เพราะวันรุ่นกินกาแฟ ก่อนกินก็ถ่ายรูป เซลฟี่ จุดนี้จะไปสู่สายตานักท่องเที่ยวทั่วดลกเอง ส่วนนักท่องเที่ยวที่มีอายุ ก็เที่ยววัน แล้วก็กิน ดังนั้นถ้าสร้างแหล้งท่องเที่ยวให้เหมาะกับวัย รูปแบบของนักท่องเที่ยว เชื่อว่าจะทำให้เงินลงสู่ชุมชนมากขึ้น

นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า หลังจากรับนโยบายจากนายสมคิดแล้ว เตรียมต่อยอดการการกระจายรายได้เป็นรูปธรรมด้วยการดำเนิน 3-4 มาตรการ ได้แก่ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเข้าสู่เมืองรอง, ส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนที่แทรกอยู่ในเมืองหลัก, เชื่อมโยงชุมชนให้เข้ามามีส่วนร่วมอำนวยความสะดวก อุดช่องว่างของปัญหาบริการนักท่องเที่ยวที่ขาดแคลน เช่น กระตุ้นให้เจ้าของบ้านเรือนห้องแถว เปิดบริการห้องนำรองรับชาวต่างชาติ

และสุดท้ายเป็นเรื่องสำคัญระดับโครงสร้าง ได้หารือกับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีไปแล้ว ถึงแนวคิดการโยกย้ายอัตรากำลังคนจาก 2 หน่วยงานที่จะถูกยุบเลิกอย่างน้อย 2 หน่วยได้แก่ สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ซึ่งมีกำลังคนรวมกว่า 80 คน ให้เข้ามาอยู่ในสังกัดของกรมการท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบันมีภารกิจเกินขอบเขตของกำลังคนที่มีอยู่ 100 คน ทำให้ไทยมีปัญหามากเรื่องการพัฒนาในฝั่งอุปทาน (Supply Side) แหล่งท่องเที่ยวและสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่ทันการเติบโตของนักท่องเที่ยว

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า จากการวางแนวคิดกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวอย่างทั่วถึง หลังจากรับฟังแนวคิดจากรองนายกรัฐมนตรีแล้ว ททท. ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวไทยเข้าเมืองรองขึ้นในปีหน้าขั้นต่ำอีก 10 ล้านคน ส่งผลให้มีอัตราเติบโตด้านส่วนแบ่งจาก 36% เป็น 40% ขณะที่การท่องเที่ยวเมืองหลักที่มีสัดส่วนอยู่กว่า 64% จะลดลงเหลือ 60% โดยมองว่าเป็นเป้าหมายระยะสั้นที่สามารถทำให้เห็นผลได้ทันที เพราะแม้จะเพิ่มเพียง 10 ล้านคนเข้าไปยังเมืองรอง แต่หากมีการใช้เฉลี่ย 1,000 บาท/คน ก็จะเกิดเงินสะพัดขั้นต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาทแล้ว ซึ่งในระดับชุมชนถือเป็นมูลค่าที่สูงเพราะทำให้เกิดการขับเคลื่อนในห่วงโซ่อุปทานอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนั้น เริ่มเตรียมความพร้อมสร้างความเข้มแข็งให้กับการท่องเที่ยวชุมชนทันที ในวันที่ 22 ธ.ค.นี้ นำสินค้าท่องเที่ยวชุมชนในไทยที่ผ่านการคัดเลือกและมีความพร้อม เช่น ชุมชนที่ผ่านการพัฒนาร่วมกับ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.), ชุมชนที่อยู่ในโครงการเดอะ ลิงค์ จับคู่กับตลาดกับสำนักงานต่างประเทศ ททท. เป็นต้น รวมมากกว่า 105 ชุมชน มาประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกับเอเยนต์ทัวร์ที่มีตลาดต่างประเทศมาหารือแลกเปลี่ยน เพื่อการทำผลิตแพ็คเกจจำหน่ายนักท่องเที่ยว โดยจัดให้ชุมชนเป็นฝ่ายผู้ขาย และเอเยนต์ 4 ตลาด คือ ยุโรป, อเมริกา, เอเชีย, อาเซียน เป็นผู้ซื้อ แบ่งการเจรจาออกเป็น 4 กลุ่ม เพื่อจับคู่ชุมชนที่มีศักยภาพตรงกับความต้องการเฉพาะของแต่ละตลาด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน