นายศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พร้อมกลับมาเปิดให้บริการในวันที่ 12 ก.ย.นี้ หลังจากปิดปรับปรุงใหม่ด้วยงบลงทุน 1.5 หมื่นล้านบาท สู่การเป็นที่สุดของอีเวนต์แพลตฟอร์ม
พร้อมด้วยศักยภาพที่จะรองรับการจัดงานในทุกรูปแบบและผู้ใช้บริการทุกไลฟ์สไตล์ ด้วยขนาดพื้นที่รวมมากขึ้นถึง 5 เท่า หรือคิดเป็นพื้นที่ 3 แสนตร.ม. แบ่งเป็นพื้นที่จัดงานอีเวนต์ 78,500 ตร.ม. พื้นที่ค้าปลีก 1.1 หมื่นตร.ม. สามารถรองรับการจัดงานได้ทุกรูปแบบ ด้วยจำนวนฮออล์จัดแสดงงานนิทรรศการ 8 ห้อง ห้องเพลนานี 4 ห้อง ห้องบอลรูม 4 ห้อง และห้องย่อย 50 ห้อง รองรับผู้เข้าใช้บริการได้ 1 แสนคน/วัน และลานจอดรถใต้ดินสามารถจอดรถยนต์ได้ 3,000 คัน โดยคาดว่ามีผู้เข้าใช้บริการมากกว่า 13 ล้านคนต่อปี เพิ่มจากช่วงก่อนปิดปรับปรุงที่มีผู้เข้าใช้บริการ 6 ล้านคนต่อปี
ศูนย์ฯ สิริกิติ์ โฉมใหม่ มีเป้าหมายของการเป็นมากกว่าศูนย์การประชุม และรองรับงานมากกว่าการจัดแสดงสินค้าและประชุมนานาชาติ (ไมซ์) โดยออกแบพื้นที่ให้มีความยืดหยุ่นรองรับการจัดงานทุกรูปแบบได้พร้อมๆ กันและเอื้อต่อการจัดการด้านโลจิสติกส์และขนย้ายสินค้าจัดแสดงทุกประเภท พร้อมเชื่อมตรงกับรถไฟฟ้าใต้ดินเข้าสู่พื้นที่จัดงาน ด้วยความที่ศูนย์ฯ สิริกิติ์ มีความแตกต่างจะเป็นจุดดึงดูดธุรกิจไมซ์ ได้ตามเป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการให้ไทยเป็นฮับในการจัดแสดงงานสินค้าและงานประชุมสัมนานานาชาติ โดยเฉพาะงานระดับชาติ ที่เดิมเคยจัดที่สิงคโปร์และฮ่องกง ก็ได้ย้ายมาจัดงานระดับอาเซียนและซีแอลเอ็มวี ดังนั้นกลุ่มลูกค้าดังกล่าวจะใช้ไทยเป็นฐานที่จะเป็นมาร์เก็ตเพลส
โดยศูนย์ฯ สิริกิติ์ จะเป็นตัวแทนของประเทศไทยที่จะดึงดูดงานจัดแสดงสินค้าและงานประชุมระดับโลกมากขึ้น โดยบริษัทคาดหวังว่าศูนย์ฯ สิริกิติ์ จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวดี และจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะดึงให้ธุรกิจนานาชาติทั้งหมดเข้ามาประเทศไทยมากขึ้น
เบื้องต้นมีผู้จัดงานระดับนานาชาติ เตรียมนำอีเวนต์ใหม่ๆ เข้ามาจัดในประเทศไทยเป็นครั้งแรก อาทิ งานแสดงสินค้าเครื่องหนังชั้นนำของโลก เดิมจัดที่ฮ่องกงทุกปี โดยงานจะมีในวันที่ 19-21 ต.ค.นี้ รวมถึงงานแสดงสินค้านานาชาติด้านผักและผลไม้แห่งภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเคยจัดอยู่ที่ฮ่องกงเช่นกัน จะจัดในวันที่ 2-4 พ.ย.นี้ และงานจัดแสดงสินค้าอัญมณีครั้งยิ่งใหญ่ รวบรวมทั้งการค้าขาย สัมมนา และกิจกรรมเสริมความรู้ด้านอัญมณี เพื่อผู้ซื้อและซัพพลายเออร์จากทั่วโลก เดิมจัดที่ประเทศสิงคโปร์ ในวันที่ 2-5 พ.ย.นี้ โดยเฉพาะการได้รับคัดเลือกให้เป็นสถานที่จัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก 2022 ในเดือนพ.ย.นี้ โดยเทคโนโลยีต่างๆ ในศูนย์ฯ สิริกิติ์จะถูกนำมาใช้ในเรื่องการรักษาความปลอดภัยแทบจะทุกจุดภายในศูนย์ฯ
นายศักดิ์ชัย กล่าวถึงความคาดหวังหลังเปิดให้บริการศูนย์ฯสิริกิติ์ ว่า สำหรับปี 2565 ซึ่งมีระยะเวลาประมาณ 3-4 เดือนนี้ จะมีอัตราการเข้าใช้พื้นที่ประมาณ 55% หรือมีรายได้ 400-500 ล้านบาท และในปี 2566 ซึ่งเปิดให้บริการเต็มปีคาดว่าจะมีลูกค้าเข้าใช้พื้นที่เพิ่มขึ้นเป็น 65% และจะมีรายได้ราว 2 พันล้านบาท ประกอบกับสภาพเศรษฐกิจทั่วโลกในขณะนี้ยังไม่ดีนัก ทำให้ในระยะ 3-4 หลังเปิดให้บริการ สัดส่วนลูกค้าในประเทศจะยังคงเป็นสัดส่วนหลักที่ประมาณ 70% และอีก 30% เป็นลูกค้าต่างชาติ
ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ทั้งโรคระบาด สงครามระหว่ารัสเซีย-ยูเครน ซึ่งขณะนี้ยังไม่แน่ว่าจะยืดเยื้อนานแค่ไหน ขณะที่ไทยถือเป็นประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในภูมิภาคอาเซียนด้วยกัน และมีศักยภาพในการดึงดูดธุรกิจที่อยู่ในยุโรปและธุรกิจที่อยู่ในประเทศที่เป็นคู่ขัดแย้งกัน ให้เข้ามาในไทยมากกว่า ดังนั้นมองว่าความโดดเด่นของศูนย์ฯ สิริกิติ์ น่าจะเป็นหนึ่งในตัวลือกในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกัน