นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ในปี 2561 ธนาคารได้ออกมาตรการยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรตามนโนยบายของรัฐบาล โดยได้ออกสินเชื่อเอสเอ็มอีเกษตรกรวงเงิน 5 หมื่นล้านบาท อายุโครงการ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4% เป็นเวลา 3 ปี เริ่มปล่อย 1 เม.ย. 2561-31 มี.ค. 2564 ต่อเนื่องมาจากโครงการเกษตร 1 ตำบล 1 เอสเอ็มอี ที่ ธ.ก.ส. ดำเนินการมา 3 ปีก่อนหน้านี้ คาดว่าสิ้นปีบัญชีเดือนมี.ค. 2561 จะปล่อยกู้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 7.2 หมื่นล้านบาท ช่วยเหลือเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และสหกรณ์ ถึง 6 หมื่นราย ซึ่งมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) 0.29%

อย่างไรก็ตาม โครงการใหม่จะมีการปรับขยายวงเงินสินเชื่อจากเดิมไม่เกิน 10 ล้านบาท เป็น 20 ล้านบาท เนื่องจากมีสหกรณ์และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเกษตรกรบางรายมีศักยภาพที่จะกู้ได้ โดยโครงการที่ผ่านมามีผู้กู้เต็ม 10 ล้านบาท ถึง 100 ราย ในจำนวนนี้มาขอกู้เพิ่มในโครงการใหม่

นายอภิรมย์ กล่าวว่า ธนาคารยังเตรียมวงเงินเชื่อ 4.5 หมื่นล้านบาท ปล่อยกู้ให้กับเกษตรกรที่มาลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยกับรัฐบาล 3.9 ล้านคน ซึ่งตอนนี้มีเกษตรกรมาลงทะเบียนเพื่อรับการฝึกอาชีพแล้ว 2 ล้านคน หรือ 50% หลังจากฝึกอาชีพหากต้องการเงินทุนก็สามารถกู้ได้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ

นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังมีวงเงินสินเชื่อสีเขียว วงเงิน 5,000 ล้านบาท ปล่อยกู้ให้กับเกษตรกรที่ทำเกษตรอินทรีย์ หรือเกษตรปลอดสารพิษ อายุโครงการ 3 ปี เริ่มปล่อยกู้ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2561 โดยเกษตรกรรายย่อยคิดดอกเบี้ย MRR-1 หรือ 6% และกรณีสถาบัน MLR-0.5 หรือ 4.5%

ขณะเดียวกัน ธ.ก.ส. ยังช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยและเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 ใน “โครงการชำระดีมีคืน” โดยคืนดอกเบี้ยเงินกู้ 30% ให้กับพี่น้องเกษตรกรลูกค้า ธ.ก.ส. ที่มีต้นเงินคงเป็นหนี้ ณ วันที่ 30 พ.ย. 2560 ไม่เกิน 3 แสนบาท จำนวน 2.3 ล้านราย รวมต้นเงินกู้ประมาณ 2.2 แสนล้านบาท เริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค.-31 ธ.ค. 2561 ซึ่งการคืนดอกเบี้ยตามโครงการดังกล่าว เมื่อคิดกลับคืนเป็นดอกเบี้ยที่เกษตรกรได้รับจะอยู่ที่ 4.9% เป็นดอกเบี้ยที่ธนาคารต้องจ่ายคืน 4,620 ล้านบาท

สำหรับขั้นตอนการดำเนินงาน ธนาคารจะคืนดอกเบี้ยในส่วนที่ลูกค้าส่งชำระคืนในอัตรา 30% ของจำนวนดอกเบี้ยที่ชำระในเดือนถัดไปแบบอัตโนมัติเดือนละครั้ง เริ่มตั้งแต่เดือนก.พ. 2561 ในกรณีที่มีหนี้คงเหลือจะนำดอกเบี้ยที่คืนให้ลูกค้ามาลดภาระหนี้ด้วยการตัดชำระต้นเงิน กรณีไม่มีหนี้คงเหลือธนาคารจะโอนเข้าบัญชีเงินฝากของลูกค้า พร้อมส่งข้อความสั้น (SMS) ให้เกษตรกรลูกค้าได้รับทราบทุกราย

“โครงการชำระดีมีคืน สร้างขวัญกำลังใจ ช่วยลดภาระหนี้ และช่วยให้เกษตรกรสามารถมีเงินนำไปใช้จ่ายหมุนเวียนในชีวิตประจำวัน รวมทั้งเป็นการสร้างเสริมให้เกษตรกรลูกค้ารักษาวินัยทางการเงินการคลัง ซึ่งส่งผลดีต่อภาพรวมในการแก้ไขปัญหาหนี้สินของตนเองและประเทศในระยะยาว” นายอภิรมย์กล่าว

นายอภิรมย์ กล่าวว่า เอ็นพีแอลของธนาคารปัจจุบันอยู่ที่ 5.1% คาดว่าปิดบัญชีของธนาคาร 31 มี.ค. 2561 จะอยู่ที่ 4% เนื่องจากเป็นฤดูกาลเก็บผลผลิตราคาข้าวหอมราคาดีตันละ 1.7 หมื่นบาท ทำให้เกษตรมีรายได้มาชำระหนี้ได้เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวของธนาคารปี 2560/61 ตั้งเป้าไว้ 2 ล้านตัน ตอนนี้มีเกษตรกรมาขอสินเชื่อแล้ว 6 แสนตัน ส่วนหนึ่งราคาข้าวดีกว่า 2 ปี ที่ผ่านมา ทำให้เกษตรกรพอใจที่ขายข้าวโดยไม่มาเข้าโครงการขอสินเชื่อชะลอการขายกับธนาคาร

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน