นายวิกรม กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภายหลังร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ (เอ็มโอยู) กับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ในด้านการบริหารจัดการขยะอุตสาหกรรมเพื่อแปรรูปเป็นพลังงาน ว่า อมตะ มีแผนที่จะพัฒนานิคมอุตสาหกรรมสำหรับผู้ประกอบการจีน (นิคมฯไชนีส) แห่งใหม่ เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนจีนที่เพิ่มมากขึ้น โดยเบื้องต้นได้ศึกษาพื้นที่ใกล้เคียงกับเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) โดยจะเป็นการร่วมทุนกับบริษัทจากประเทศจีน ซึ่งอมตะจะถือหุ้นที่ 51% ทั้งนี้ คาดว่าภายใน 3 เดือนข้างหน้าจะได้ผลสรุปที่ชัดเจน
“อมตะ จะเร่งสรุปข้อมูล โดยคาดว่าจะพัฒนาพื้นที่และเสนอเรื่องขอให้เป็นเขตส่งเสริมพิเศษ เพื่อที่จะได้รับสิทธิ์ประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะรองรับอุตสาหกรรมด้านสายการผลิตของผู้ประกอบการจีนเอง และโรงงานต่างชาติที่มีการลงทุนในประเทศจีนอยู่แล้ว และกำลังหาโอกาสขยายการลงทุน”นายวิกรม กล่าว
ขณะเดียวกันเชื่อมั่นว่าพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อีอีซี ที่ได้รับการพิจารณาจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และรอประกาศใช้ได้อย่างเป็นทางการ จะเป็นเรื่องดีต่อประเทศ เนื่องจากในพื้นที่ดังกล่าวมีสิทธิประโยชน์มากกว่าพื้นที่อื่นๆ รวมถึงมีการสร้างโครงสร้างพื้นฐานรองรับในทุกอุตสาหกรรม จึงเป็นจุดที่ดึงดูดการลงทุนสำคัญของประเทศ ทำให้หลายบริษัททั้งในและต่างประเทศสนใจแต่มั่นใจที่จะดำเนินการในด้านต่างๆ มากขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนจากจีนที่คาดว่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนอีกหนึ่งประเทศ ส่งเสริมในสิ่งที่ยังขาดไปในประเทศ
ทั้งนี้ การลงนามครั้งนี้เพื่อกำจัดกากอุตสาหกรรมและนำไปผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าเพื่อให้บริการแก่ผู้ประกอบการในนิคม ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศโดย กนอ. ซึ่งจะนำร่องในพื้นที่นิคมฯ อมตะซิตี้ ชลบุรี ภายในระยะเวลา 1 ปี ซึ่งจากการประเมินความสามารถในเชื้อเพลิงมีขยะที่นำมาผลิตเป็นไฟฟ้าได้ 1,200 ตันต่อวัน และเบื้องต้นกำลังศึกษาความพร้อมในการตั้งโรงไฟฟ้าขยะในนิคมว่าจะมีกำลังการผลิตเท่าใดเพื่อให้ป้อนโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม
นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการ กนอ. กล่าวว่า การร่วมมือครั้งนี้เป็นการศึกษาเพื่อนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการขยะอุตสาหกรรมเพื่อให้สอดรับกับอุตสาหกรรม 4.0 นอกจากนี้ ยังเป็นการป้องกันการลักลอบทิ้งกากของเสียนอกนิคมฯ ส่งผลให้สามารถลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม สร้างสมดุลการอยู่ร่วมกันของภาคอุตสาหกรรม สังคม ชุมชนได้ต่อไป
