‘พิชัย’ เผยแผนก่อหนี้ใหม่ งบปี 68 กู้อีก 1.05 ล้านล้าน ระดับหนี้สาธารณะ 66% ต่อจีดีพี ชี้ยังต่ำกว่ากรอบวินัยคลัง คาดปี 70 เริ่มปรับตัวลดลง

วันที่ 18 ก.ย. 2567 ที่กระทรวงการคลัง นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ ครั้งที่ 3/2567 ว่า ได้ประชุมถึงกรอบการบริหารหนี้สาธารณะในปี 2568 และประเมินถึงระดับหนี้สาธารณะในปีดังกล่าว โดยกรอบบริหารหนี้จะอยู่ที่ประมาณ 2.586 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้ เป็นการก่อหนี้ใหม่ประมาณ 1.05 ล้านล้านบาท ส่วนระดับหนี้สาธารณะจะอยู่ที่ 66% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี)

นายพิชัย กล่าวว่า ระดับหนี้สาธารณะดังกล่าว ถือว่ายังต่ำกว่ากรอบวินัยการคลังที่รัฐบาลกำหนดไว้ที่ 70% ต่อจีดีพี ซึ่งตามแผนการคลังระยะปานกลางในช่วงปี 2568-2571 คาดการณ์ว่าระดับหนี้สาธารณะของปี 2569 จะเริ่มอยู่นิ่ง และเริ่มปรับตัวลดลงในปี 2570 ภายใต้สมมุติฐานว่าเศรษฐกิจไทยจะมีอัตราการขยายตัวต่อเนื่อง โดยคาดว่าการขยายตัวของจีดีพีในปี 2568 จะอยู่ที่ 3% ส่งผลให้ระดับหนี้สาธารณะในสิ้นปีงบประมาณ 2568 คาดว่าจะอยู่ที่ 65% ต่อจีดีพี

นายพิชัย กล่าวต่อว่า สำหรับกรอบการบริหารหนี้สาธารณะในปีงบประมาณ 2568 ที่อยู่ 2.586 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นการกู้ยืมใหม่ 1.057 ล้านล้านบาท และปรับโครงสร้างหนี้ 1.529 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ การกู้ยืมใหม่นั้นส่วนสำคัญมาจากการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลของรัฐบาล ในวงเงิน 8.65 แสนล้านบาท

“ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการบริหารหนี้สาธารณะของกระทรวงการคลังในปีหน้า เป็นเรื่องของดอกเบี้ยขาลงในตลาดโลก ซึ่งเรามองว่าน่าจะเป็นผลดีต่อการบริหารหนี้สาธารณะของรัฐบาล ส่วนความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนนั้น เนื่องจากเรามีการกู้เป็นเงินตราต่างประเทศในระดับที่ต่ำ ความเสี่ยงด้านนี้จึงมีน้อย”

นายพิชัย กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันกระทรวงการคลังยังมีแนวคิดที่จะเดินหน้าออกพันธบัตรสกุลเงินตราต่างประเทศ (Foreign currency bond) คาดว่าเร็วที่สุดคือ ช่วงไตรมาสแรกปี 2568 อย่างไรก็ดี ขณะนี้เงินทุนจากต่างประเทศยังไหลเข้ามา และยังมีกลุ่มที่นำเงินสกุลดอลลาร์เข้ามา แล้วมาแลกเป็นเงินบาทเพื่อมาลงทุนในประเทศไทย ขณะที่อัตราดอกเบี้ยรัฐบาลไทยยังอยู่ระดับต่ำ และหากเอกชนไประดมทุนเงินต่างประเทศ ส่วนใหญ่จะเทียบกับรัฐบาล เพราะฉะนั้นจำเป็นจะต้องมีการสร้างอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง (Benchmark)

“ในเชิงของ Benchmark เรามองว่าจำเป็นจะต้องมีเพื่อไม่ให้ต่างประเทศลืมเรา เบื้องต้นมีการคุยกันอย่างไม่เป็นทางการ ยังไม่มีมติในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามต่างชาติได้มีการเรียกร้องเรื่องนี้มานานแล้ว หากมีจังหวะเวลาที่เหมาะสม แนวโน้มเศรษฐกิจดีขึ้น และมองว่าถ้าเร็วที่สุดก็ประมาณไตรมาสแรกของปี 2568” นายพิชัย กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน