นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 20 เม.ย.ที่ผ่านมา มีมติเห็นขอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์คำนวณราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ โรงกลั่น ส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่นสำหรับน้ำมันดีเซลลดลง 41 สตางค์/ลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 (E10) ลดลง 61 สตางค์/ลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 ลดลง 43 สตางค์/ลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 21 เม.ย. 2561 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ กบง. ยังรับทราบผลการปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานตามมติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่ประกาศลงราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้วันนี้ (20 เม.ย. 2561) โดยน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล์ และดีเซลลดลง 15 สตางค์/ลิตร เป็นระยะเวลา 2 ปี ส่งผลให้ราคาขายส่งก่อนรวมค่าการตลาดและจัดจำหน่ายตามสถานีบริการสามารถลดลงได้ 60-80 สตางค์ต่อลิตร

“ขณะนี้ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกผันผวนอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยราคาน้ำมันดิบตลาดเบรนต์เคลื่อนไหวอยู่ที่ 70-73 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพิ่มขึ้นอยู่ในกรอบ 3-4 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่งผลกระทบราคาขายปลีกน้ำมันต่อผู้บริโภค แต่การปรับสูตรคำนวณครั้งนี้ส่งผลให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ณ โรงกลั่น และราคาขายปลีกในประเทศจะลดลง แม้ราคาน้ำมันตลาดโลกจะปรับขึ้น เพื่อลดภาระผลกระทบต่อผู้บริโภค ประกอบกับการปรับลดเงินนำส่งเข้ากองทุนฯ ส่งผลให้ราคาขายปลีกลดลง แต่จะลดลงแค่ไหนขึ้นอยู่กับผู้ค้า”

นายศิริ กล่าวยืนยันว่า การปรับสูตรคำนวณดังกล่าวที่มีผลให้ราคาน้ำมันลดลงสวนทางกับราคาน้ำมันดิบตลาดโลกนั้น ไม่ใช่การหาเสียงหรือเป็นนโยบายประชานิยม จึงไม่ขัดกับพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วินัยการเงินการคลัง มาตรา 9 ที่ระบุห้ามคณะรัฐมนตรี บริหารราชการแผ่นดิน โดยมุ่งสร้างความนิยมทางการเมือง ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจประเทศ และประชาชนในระยะยาว เนื่องจากมีการศึกษามาตั้งแต่ปี 2558 จนได้ข้อสรุปออกมาชัดเจน และปัจจุบันกองทุนอนุรักษ์ฯ มีเงินสะสม 41,000 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมามีเงินเข้ากองทุน 9,900 ล้านบาท/ปี แต่หลังจากปรับลดเงินนำส่งแล้วจะมีเงินเข้ากองทุนลดลงเหลือ 3,500 ล้านบาท/ปี ส่วนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีเงิน 32,000 ล้านบาท

สำหรับความคืบหน้าการเปิดประมูลแหล่งผลิตปิโตรเลียมแหล่งเอราวัณ และบงกชนั้น กระทรวงพลังงานเตรียมเสนอร่างประกวดราคา (ทีโออาร์) ประมูล 2 แหล่งผลิตปิโตรเลียมให้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พิจารณาในวันที่ 23 เม.ย.นี้ ก่อนออกหนังสือประกาศเชิญชวนในวันที่ 24 เม.ย.ต่อไป โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าประมูลไม่น้อยกว่า 3 ราย และยืนยันการประมูลจะเป็นไปอย่างโปร่งใส ไม่มีการกำหนดคุณสมบัติเพื่อเอื้อประโยชน์ (ล็อกสเป็ก) ให้กับผู้เข้าแข่งขันประมูลรายใดหรือจากประเทศไทยประเทศหนึ่งตามที่มีกระแสข่าวแต่อย่างใด

โดยเงื่อนไงการประมูลจะกำหนดหลักเกณฑ์ผู้เข้าประมูลที่เปิดกว้างให้มีการแข่งขันเพื่อประโยชน์สูงสุดกับประเทศ อาทิ การแบ่งปันผลประโยชน์ให้ประเทศมากกว่า 50% ให้น้ำหนักการเสนอราคาก๊าซต่ำ 65% ข้อเสนอส่วนแบ่งกำไรแก่รัฐ 25% มีคะแนนพิเศษกรณีใช้บุคลากรในประเทศ 80% และสามารถคงกำลังการผลิตได้ตามเงื่อนไขที่รัฐกำหนดได้ เป็นต้น

นายศิริ กล่าวว่า ขณะเดียวกันจะเสนอให้ กพช. ทบทวนรายละเอียดแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (พีดีพี 2015) ที่ปรับปรุงใหม่ ในส่วนของรูปแบบการผลิตไฟฟ้าให้มีการแข่งขันเสรี โดยอาจให้มีการพิจารณาเป็นรายภูมิภาคให้มีความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ ซึ่งหลังจาก กพช. เห็นชอบจะจัดทำรายละเอียดให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิ.ย. 2561 ก่อนเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนต่อไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน