‘บิวกิ้น’ไม่ตั้งเป้าไกล
สุขได้ทำสิ่งใหม่ท้าทาย

โดย วีรนุช จันทำ
‘บิวกิ้น’ – หลังเป็นที่รู้จักจากบท ‘หมอเต่า’ ในละคร “My Ambulance รักฉุดใจนายฉุกเฉิน” ล่าสุด ‘บิวกิ้น’ พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล นักแสดงหนุ่มวัย 20 ปีจากค่ายนาดาว บางกอก ก็หันมาจับไมค์เต็มตัว ภายใต้สังกัดนาดาว มิวสิค ออกซิงเกิลแรก “กอดในใจ” เข้าสถานการณ์เว้นระยะห่างในช่วงโควิด-19
วันนี้จังหวะดีที่หนุ่มบิวกิ้นว่างจากการเรียนออนไลน์ เลยมีโอกาสพูดคุยถึงการทำงานเพลง รวมถึงอัพเดตเรื่องราวชีวิต

ช่วงนี้ทำอะไรบ้าง?
บิวกิ้น – “ตอนนี้ผมเรียนออนไลน์อยู่ครับ ก็มีความสะดวก มีทั้งข้อดีข้อเสียต่างจากไปเรียนที่มหาวิทยาลัย ผมว่าเรายังไม่ชิน อาจจะต้องปรับตัวนิดนึงครับ ตอนนี้เริ่มโอเคขึ้นแล้ว ตอนนี้จะจบปี 2 แล้วครับ เทอมหน้าขึ้นปี 3 และมีออกกำลังกาย ทำอาหาร อ่านหนังสือ”


ผลงานเพลงซิงเกิลแรก “กอดในใจ”?
บิวกิ้น – “เป็นเพลงแรกที่ปล่อยมาเดี่ยวๆ ของผม ไม่ได้พ่วงกับโปรเจ็กต์ไหน อย่างเพลง You Are My Everything ที่ร้อง ใช้ประกอบซีรีส์ รักฉุดใจนายฉุกเฉิน ส่วนเพลงนี้ กอดในใจ เป็นแนวโมเดิร์นป๊อป ผมไม่ค่อยคุ้นชิน แต่พี่ๆ อยากให้ลองออกจากคอม ฟอร์ตโซน เห็นว่าเราน่าจะทำได้ เราก็คิดว่าได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ตื่นเต้นสนุกดีครับ”

ฟีดแบ็กดีมาก?
บิวกิ้น – “ขอบคุณมากครับ ก็มีพี่ๆ ส่งมาให้ดู พอเห็นฟีดแบ็กดีก็ดีใจ เป็นกำลังใจให้ทำผลงานต่อไป เรื่องความคาดหวัง ผมไม่ได้คาดหวังเป็นตัวเลขว่าจะต้องได้ร้อยล้านวิว ดูฟีดแบ็ก มากกว่า หลังจากปล่อยเพลงไปเราเห็นคนโพสต์ในทวิตเตอร์ ไปนั่งอ่านคอมเมนต์ ในยูทูบ มีคนมาคอมเมนต์ในอินสตาแกรมเรา พอเห็นฟีดแบ็กที่ดีกลับมาก็ปลื้มใจแล้วครับ”

หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เพลงนี้เข้ากับสถานการณ์ในตอนนี้เลย?
บิวกิ้น – “ความจริงมันเป็นเพลงของสถานการณ์นี้เลย จุดเริ่มต้นเกิดจากพี่ๆ ผู้ใหญ่ในบริษัทอยากทำเพลงหนึ่งที่เหมือนเป็นตัวแทนความรู้สึกของคนในช่วงนี้ เรามาตกตะกอนกันว่าการที่ทุกคนจะต้อง Social distancing หรือเวิร์กฟรอมโฮม มันทำให้คนเรามีความรู้สึกร่วมอะไร ได้คำตอบว่ามันคงเป็นความคิดถึงที่เราไม่ได้เจอกัน ไม่ได้มาทำอะไรเหมือนเดิม เป็นความคิดถึงที่พิเศษตรงที่มันมีเงื่อนไขของมันอยู่ ผมว่าอินเนอร์ของเพลงมันเป็นความคิดถึงที่ไม่ใช่แค่คิดถึงคน คิดถึงใคร หรือคิดถึงสถานที่ อาจเป็นความคิดถึงบรรยากาศ วิธีการใช้ชีวิต สิ่งที่เคยทำ คิดถึงสิ่งต่างๆ ที่เราอาจจะไม่ได้ทำมันอีกแล้ว บางอย่างต้องเปลี่ยนไป เป็นความคิดถึงโดยรวมมากกว่า แต่เป็นความคิดถึงที่ยังมีความหวังอยู่ในนั้นกึ่งๆ ให้กำลังใจ”


มีท่อนแร็พด้วย?
บิวกิ้น – “ท่อนแร็พเป็นพี่เจเจ กฤษณภูมิ มาร้องท่อนแร็พให้ และเขาแต่งเนื้อเองด้วย เรามาคุยกันอยู่ภายใต้โจทย์เดียวกัน เป็นความคิดถึงแบบ Social distancing และเวิร์ก ฟรอมโฮม ในท่อนแร็พเป็นการตีความความคิดถึงในมุมมองของพี่เจเจ เป็นอีกรสชาติหนึ่งที่มาเติมเต็มในเพลงทำให้กลมกล่อมมากขึ้นครับ”

เวิร์กฟรอมโฮมของเราเป็นยังไงบ้าง?
บิวกิ้น – “ในโปรเซสของการทำเพลง จะว่าเป็นการเวิร์กฟรอมโฮมหมดเลยก็ได้ ตั้งแต่ผุดคิดไอเดียจนถึงสเต็ปที่ชวนผมมาทำ สเต็ปแต่งเนื้อ แต่งเมโลดี้ ร้องเดโม ทุกอย่างเราไม่ได้เจอกันเลยครับ เราคุยวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กันทั้งหมดเลย เจอกันวันเดียววันที่อัดเสียง หลังจากนั้นไม่ได้เจอกันอีก เป็นการทำเพลงแบบเวิร์กฟรอมโฮมแบบใหม่จริงๆ”

จุดเริ่มต้นเข้าวงการ?
บิวกิ้น – “จุดเริ่มต้นเข้า มาอยู่ในบริษัทนาดาวฯ จาก การเป็นพาร์ตนักแสดงก่อน วันหนึ่งผมมีโอกาสได้ไปเจอพี่บอม หัวหน้าแผนกดูแลศิลปินของบริษัท พี่บอมชวนให้เข้ามาแคสต์ที่บริษัทก็เลยได้มาอยู่ที่นี่ ผลงานแรก รักฉุดใจนายฉุกเฉิน มีคนเริ่มรู้จัก เริ่มมีแฟนๆ ติดตามเยอะขึ้น เขาเห็นผลงานที่เราทำ เห็นสิ่งที่เราตั้งใจแสดงออกไป ก็มาติดตามชื่นชม ก็ดีใจนะที่เขาชอบในสิ่งที่เราทำ รู้สึกว่าเรากำลังเดินถูกทาง ทำสิ่งที่ถูกอยู่”

มีความฝันอยากเป็นนักแสดงมาตั้งแต่แรกเลยไหม?
บิวกิ้น – “สำหรับผมเริ่มจากการเป็นผู้เสพก่อน ผมชอบดูหนังมาก ชอบดูหนัง GDH มาก ดูแล้วทำไมรู้สึกว่าหนังดีจังเลย เลยเป็นความฝันของเด็กคนหนึ่งที่คิดว่าถ้าได้มาอยู่ที่นี่คงดี พอมีโอกาสเข้ามาเราก็ไม่ลังเล เข้ามาลอง ได้มาทำแล้วยากครับ ผมว่าสิ่งที่ยากที่สุดของการแสดงเลยคือทำให้เหมือนว่าเราไม่ได้แสดง การที่เราจะทำให้รู้สึกคุ้นชินกับการทำอะไรซ้ำๆ ไปหลายรอบ ต้องทำอะไรที่เราไม่คิดว่าเราจะทำ หรือทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเรา ทำให้เราคุ้นชินกับการแสดง ผมว่าสิ่งนี้ยากที่สุด การที่เราต้องเป็นธรรมชาติ”

ผลงานชิ้นแรกก็ได้บทท้าทายเลย?
บิวกิ้น – “ท้าทายเลยครับ บทบาทแรกการเป็นนักแสดง รับบทหมอ ไกลตัวมาก ไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับด้านการแพทย์เลย ต้องไปเวิร์กช็อป ไปเรียนรู้วิธีการคิด ข้อมูลทางการแพทย์เยอะเลย ถามว่าพอใจกับการแสดงเรื่องแรกแค่ไหน พอใจมากครับ ไม่เคยมีช่วงเวลาไหนที่เราไม่ได้เต็มที่กับมัน เราเต็มที่กับทุกคิวที่ไปถ่ายทุกซีนที่เราเล่น พอผลออกมาต่อให้จะดีหรือไม่ดี เราก็รู้สึกว่าเราได้ทำมันอย่างเต็มที่เต็มความสามารถของเรา พอฟีดแบ็กออกมาดีมันยิ่งส่งกันไป”

ได้ร่วมงานกับพี่ๆ นักแสดงมากประสบการณ์ เป็นยังไงบ้าง?
บิวกิ้น – “พอเป็นละครเรื่องแรก ได้ไปเล่นกับพี่ๆ เขา ก่อนจะเข้าไปเล่นรู้สึกกดดันมาก ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า พอไปอยู่ร่วมเฟรม ไปเล่นกับเขา เราจะเป็นตัวถ่วงหรือเปล่า อย่างพี่ซันนี่ (สุวรรณเมธานนท์) เป็นคนน่ารักมาก นิสัยเฮฮา ตลก เล่นมุขตลอดเวลา อยู่กับเขาแล้วจะตลกไปทุกวัน เขาจะเป็นคนสบายๆ ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกเกร็งหรือกดดันเวลาเล่นกับเขา เขาพยายามช่วยและให้กำลังใจตลอด พี่ใหม่ ดาวิกา ก็เหมือนกัน ตัวจริงเป็นคนน่ารักมาก พูดจาเป็นกันเองมาก เป็นคนไม่ถือตัว คุยกันแล้วเหมือนเป็นพี่เป็นน้องคุยกัน คอยช่วยคอยถามไถ่ให้คำปรึกษากัน ได้ประสบการณ์ดีๆ จากการเล่นซีรีส์เรื่องนี้เยอะเลยครับ”

แล้วจุดเริ่มต้นการเป็นนักร้อง ชอบร้องเพลงตอนไหน?
บิวกิ้น – “เริ่มจากตอนเรียนประถม ปิดเทอมใหญ่มีเวลาว่าง แม่ส่งไปเรียนร้องเพลงและเรียนเต้นสลับกันอย่างละชั่วโมง เพื่อไม่อยากให้อยู่บ้าน เรารู้สึกไม่ชอบเรียนเต้นเลย แต่ชอบเรียนร้องเพลงมาก พอเปิดเทอมก็ไม่ได้เรียนร้องเพลงต่อ พอเวลาผ่านไปรู้สึกอยากกลับมาเรียนร้องเพลงอีก ยังเอ็นจอยกับมัน เว้นไปหลายปีเหมือนกันกว่าจะกลับมาเรียน เรียนอย่างมีความสุข ว่างก็เรียน ไม่ว่างก็ไม่เรียน พอมาได้เล่นละคร เขารู้ว่าเราพอร้องเพลงได้ เลยชวนมาร้องประกอบซีรีส์”

มีคนชมว่าเราเสียงดี เสียงเพราะมาตั้งแต่เด็กแล้ว เห็นความสามารถทางด้านนี้?
บิวกิ้น – “ความจริงผมเป็นคนเขินมากเลยเวลาร้องเพลง ตอนเด็กๆ จะเป็นคนไม่ร้องเพลงนอกห้องเรียน จะรู้สึกว่ามันดีหรือเปล่า จะโดนล้อมั้ย เลยทำให้ไม่มั่นใจเวลาจะออกไปร้องเพลงนอกห้องเรียน แต่มีครั้งหนึ่ง มีโอกาสได้ไปร้องเพลงต่อหน้าคนเยอะๆ เลยทำให้ความรู้สึกเปลี่ยน จริงๆ มันก็ไม่ได้แย่นะ เลยทำให้เรารู้สึกเปิดกับการออกไปร้องโชว์มากขึ้น”

ผลงานการแสดงเรื่องต่อไป?
บิวกิ้น – “ปีนี้จะมีซีรีส์ ชื่อโปรเจ็กต์ BKPP THE SERIES ฉายทางไลน์ทีวี ยังไม่ได้ถ่ายทำ ความจริงกำหนดถ่ายคือเดือนพฤษภาคมนี้ พอเกิดสถานการณ์นี้ก็ต้องมีการขยับออกไป แต่ว่าภายในปีนี้แน่นอนครับ เรื่องนี้เป็นซีรีส์เกี่ยวกับความรัก”

คิดไหมว่าวันนี้จะได้มาเป็นนักร้องนักแสดง?
บิวกิ้น – “ไม่เคยคิดเลย ตอนที่เรียนร้องเพลงตอนเด็ก คนที่ชอบร้องเพลงทุกคน ความฝันเกือบทุกคนจะต้องรู้สึกว่าวันหนึ่งเราจะมีเพลงเป็นของตัวเอง มีโอกาสได้สื่อสารความเป็นตัวเรา ส่วนในพาร์ตการแสดงยิ่งยาก ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้มาแสดงด้วยซ้ำ หรือได้ไปอยู่ที่นั่นสักที่ด้วยซ้ำ ไม่เคยคิดเลยว่าจะมาอยู่ตรงนี้ จริงๆ ตอนเด็กๆ ผมเป็นคนขี้อายพอประมาณ ไม่มั่นใจเวลาที่ทำอะไรไปแล้วเรายังไม่รู้ว่ามันดีหรือเปล่า เลยไม่มั่นใจและไม่กล้า ทำ แต่จุดที่ทำให้กล้าแสดงออก ผมว่า มันอยู่ที่ครั้งแรก พอได้ร้องเพลงต่อหน้าคนครั้งแรก พอมีคนมาคุยกับเราว่ามันไม่ได้แย่ พาร์ตการแสดงก็เหมือนกัน เป็นความไม่มั่นใจของเราว่าจะทำได้หรือเปล่า เราจะโดนด่าว่าเล่นเป็นหินหรือเปล่า มันก็ต้องค่อยๆ ปรับไป พอเราทำไปเรื่อยๆ ทำให้เริ่มชินมากขึ้น”


ปรับตัวกับชีวิตตอนนี้ได้หรือยัง?
บิวกิ้น – “ผมว่ามันต้องปรับตัวตลอดเวลา เราไปเจอไปลองทำอะไรใหม่ๆ อยากพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ปรับตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ถามว่าพอเริ่มมีชื่อเสียงคนรู้จักมากขึ้น ชินหรือยัง ความจริงผมก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิมครับ เราอาจจะมีอะไรทำมากขึ้น มีงานเข้ามามากขึ้น มีโอกาสมากขึ้น แต่สำหรับวิธีการคิด การใช้ชีวิตยังคล้ายๆ เดิมครับ”

ตั้งเป้าหมายในชีวิตไว้อย่างไร?
บิวกิ้น – “ผมไม่ได้ตั้งเป้าหมายเลยว่าชีวิตนี้จะต้องออกเพลงกี่อัลบั้มหรือวันหนึ่งจะต้องไปเล่นฮอลลีวู้ด ไม่ได้มองเป้าหมายแบบนั้น ผมมองว่าการที่ได้มาทำงานตรงนี้ ได้ทำสิ่งใหม่ๆ ท้าทายตัวเองไปเรื่อยๆ มันทำให้เรารู้สึกมีความสุขที่ได้ทำ ผมทำด้วยความสุข ผมทำไปเรื่อยๆ จนกว่าผมยังมีความสุขอยู่ ผมไม่รู้หรอกว่ามันอยู่จุดไหน ถ้ายังแฮปปี้ยังมีใจที่อยากพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ”

ตอนนี้เรียนอยู่คณะอะไร?
บิวกิ้น – “ผมเรียนอยู่ที่ BBA ธรรมศาสตร์ ปีสอง บัญชีบริหาร ภาคอินเตอร์ ที่เลือกเรียนสาขานี้ เพราะที่บ้านเป็นคนจีน ทำธุรกิจ คุณพ่อคุณแม่คุณอาอากงอาม่าทุกคน ครอบครัวอยู่ในแวดวงธุรกิจ ทุกคนเป็นบุคคลที่เป็นบิสสิเนสแมนหมดเลย สิ่งนี้คือสิ่งที่หล่อเลี้ยงเรามาตั้งแต่เด็กจนโต ตั้งแต่เด็กผมจะได้มีโอกาสไปเรียนรู้งานที่บ้าน คุณพ่อคุณแม่พาไปดูโรงงาน ดูออฟฟิศ มันเลยทำให้เรามีแพสชั่นในด้านนี้เหมือนกัน”

มาทำงานในวงการ ที่บ้านสนับสนุนแค่ไหน?
บิวกิ้น – “ตอนแรกเขาไม่สนับสนุน เท่าไหร่ เพราะเขากลัวเราจะไม่เอาจริงมากกว่า กลัวว่าเราจะมาเอาสนุกเหยาะแหยะ พอเขาเห็นว่าเราทำจริงจัง เรามาด้วยใจ อยากทำจริงๆ เราพิสูจน์ชนะใจเขา เขาก็ไม่ได้กีดกัน สนับสนุนด้วยซ้ำ”


เรามีพี่น้องกี่คน?
บิวกิ้น – “มีพี่น้อง 3 คนครับ ผมเป็นคนที่สาม ลูกคนเล็กก็มีโดนสปอยล์นิดหน่อย พ่อแม่เขาพยายามทำให้ลูกๆ เห็นว่าเขารักทุกคนเท่ากัน เวลาให้อะไรก็จะให้เหมือนกัน ถ้าใครได้อะไรคนที่เหลือก็ต้องได้เหมือนกัน ครอบครัวเราสนิทกันมาก เจอกันทุกวัน คุยกันทุกวัน”

สุดท้ายขอถามเรื่องหัวใจหน่อย มีคนคุยแล้วหรือยัง?
บิวกิ้น – “ยังไม่มีครับ ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องรีบร้อน พอวันหนึ่งถ้าเจอคนที่ใช่ก็คงใช่เอง ส่วนใหญ่มีแต่เพื่อนๆ กันมากกว่า เรามุ่งทางเรียนมากกว่า (หัวเราะ) ส่วนสเป๊ก ผมไม่มีสเป๊กเลย ผมว่าความรักมันคืออะไรก็ได้ เราจะชอบอะไรก็ได้ ชอบใครก็ได้ เราไม่ได้สเป๊กว่าจะต้องสูงเตี้ยขาวดำยังไง ผมว่ามันเป็นเรื่องความรู้สึกมากกว่า ถ้าเจอใครแล้วรู้สึกชอบ ความรู้สึกมันจะบอกเอง”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน