“ณัฐพร อินถา”

ไม่ว่าจะเนิ่นนานสักเพียงไหน ความรู้สึกเคารพรัก และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงทุ่มเทพระวรกายพระสติปัญญาเพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับพสกนิกรชาวไทยจะไม่มีวันจางหาย

อย่างเช่นที่นักร้องนักแสดงรุ่นใหญ่ “จิ๊บ”วสุ แสงสิงแก้ว รู้สึก โดยเจ้าตัวได้เผยว่า “1 ปีที่ผ่านมาผมว่าคนไทยทุกคนคงไม่มีใครก้าวข้ามความรู้สึกตรงนี้ไปได้ จนกระทั่งตลอดชีวิต มันเหมือนกับคนที่เรารักเคารพศรัทธาอย่างคุณพ่อเราที่จากเราไป ยังไงความรู้สึกของความเป็นพ่อเป็นลูกก็ยังอยู่ ผมเชื่อว่านี่เป็นความรู้สึกของคนไทยทุกคนในแผ่นดินไทย ที่เกิดในราชวงศ์ของท่าน ซึ่งจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับช่วงอายุ”

“บางคนที่เกิดมาทันได้เห็นพระราชกรณียกิจของท่านตั้งแต่ต้นจนปลาย อาจจะมีความรู้สึกตรงนี้มากหน่อย เยาวชนรุ่นหลังๆ ที่อาจจะโตไม่ทัน ก็คงเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ในครอบครัวที่จะถ่ายทอดต่อให้ทราบ

อย่างเช่น ผมย้อนไปกล่าวถึงรัชกาลที่ 5 รุ่นเราไม่มีใครเกิดทันแต่เราก็ยังได้รับทราบตั้งแต่เกิด ในหนังสือเรียน ครู อาจารย์ พ่อแม่ ก็บอกเล่าว่าท่านมีคุณูปการกับคนไทยขนาดไหน

ต่อไปในอนาคตก็จะเป็นอย่างนั้น เรามีอายุไม่ถึงหรอกที่จะรู้ว่าจากนี้ 50-100 ปีจะเป็นอย่างไร แต่ความรู้สึกตรงนี้ต้องส่งทอด ส่งผ่าน แล้วไม่ใช่แค่ความรู้สึก มันเป็นความรู้ ที่พระองค์ท่าน ทรงสร้างไว้กับประเทศไทย ซึ่งเป็นรูปธรรม จับต้องได้”

นอกจากจะเป็นบุคคลในแวดวงบันเทิง จิ๊บ-วสุ ยังเป็นนักการทูต ซึ่งทำให้ได้เดินทางอยู่บ่อยๆ พบเจอกับผู้คนมากมาย โดยเจ้าตัวบอกว่าต่างชาติยังรับรู้ว่าพระราชวังที่เมืองไทยไม่เคยหยุดทำงาน

“ในชีวิตการทำงานของผม ผมเดินทางเยอะ ได้ไปสัมผัสนับ 10 ประเทศที่เขามีสถาบันกษัตริย์เหมือนกัน กลับมาที่บ้านเราผมนึกถึงคำพูดของ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ท่านเคยพูดว่า มหากษัตริย์เป็นผู้ที่ครองแผ่นดิน แต่ พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 ทรงครองหัวใจของคนไทยทุกคน ความหมายลึกซึ้งมาก”

“พระองค์ไม่ได้นั่งเฉพาะบนบัลลังก์ ฝรั่งเขาขนานนามให้เลยว่าเป็นเวิร์กกิ้งพาเลซ เป็นวังที่ไม่เคยหยุดทำงาน ตลอดชีวิตของพระองค์ท่านห้องทรงงานของพระองค์ก็คือพื้นที่จริง หมายต่างๆ ที่ท่านวางเอาไว้ช่วยขยับประเทศเราทั้งประเทศ จากประเทศที่ยากจน ประเทศที่ด้อยพัฒนา มาเป็นประเทศที่พัฒนาระดับกลางได้ มีเรื่องการเกษตร มีเรื่องเกษตรกรรมเป็นหลัก พระองค์มองแผนที่ทั้งประเทศ ท่านมองทะลุหมด สีที่ต่างกันบนแผนที่ของท่าน คือสีของแผ่นดิน สีของน้ำ สีของอากาศ ทั้งหมดที่เป็นปัจจัยของเกษตรกรรม เพราะว่าบ้านเราอยู่ได้ด้วยเกษตรกรรม เป็นสิ่งที่เราต้องส่งผ่านกันต่อไป”

“ถามว่าถ้าต่อแต่นี้ไปเราจะตั้งอกตั้งใจอย่างไรที่จะสืบสานต่อพระราชปณิธาน ในด้านโครงการในพระราชดำริ มีมากมาย เราไม่ต้องพูดถึง เราสามารถหาอ่าน หรือศึกษาเมื่อไหร่ก็ได้ตามศาสตร์สาขาแต่ละคน สำคัญที่สุดผมว่าในพระทัยของพระองค์ท่าน อยากที่จะเห็นความรักความสามัคคีของคนในประเทศไทยมากที่สุด ถ้ารักพระองค์ท่าน ผมเชื่อว่านี่เป็นสิ่งที่จะทำให้พระองค์ท่านสบายใจมากที่สุด ถ้าเรารักสามัคคีกันแล้วสิ่งดีๆ ต่างๆ ก็จะเกิดขึ้น จิตสำนึกที่เป็นสาธารณะจะเกิดขึ้น จิตที่ให้สังคมจะตามมา แล้วประเทศจะพุ่งไปได้”

เมื่อถามว่าทุกวันนี้เวลาที่มีการพูดถึง หรือเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ ยังมีความเศร้าอยู่ไหม เจ้าตัวบอกว่า “ความสะเทือนใจ ความเศร้ามันก้าวข้ามไม่ได้ เราก็จะต้องแปรเปลี่ยนเป็นพลังที่จะให้เราเดินต่อไป ถ้ามัวแต่เศร้าชีวิตมันก็ดาวน์ ไม่เกิดประโยชน์ขึ้นมา อันนี้ผมมีเรื่องที่เล่าสู่กันฟัง พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ได้ถวายงานพระองค์ท่านเป็นสิบๆ ปี มีครั้งหนึ่งที่ในหลวงท่านทรงไปรับเชื้อจากการไปเยี่ยมเยียนหมู่บ้านทุรกันดาร ท่านก็ทรงประชวรหนัก ขนาดที่ว่างดออกทำพระราชกิจเป็นเดือน ตอนนั้นท่านอยู่ที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ประชวรถึงขนาดที่ว่าหมอที่ถูกตามไปถวายงานปิดห้องร้องไห้กัน”

“คิดว่าเป็นอย่างไรต่อ ด้วยว่าท่านพล.ต.อ.วสิษฐมีความจงรักภักดีมาก บวกกับเป็นนักเขียน ก็เอาจดหมายขึ้นมาเขียนรำพันว่าอยากที่จะตายแทน จะบวช แล้วก็ฝากถวายราชเลขาธิการขึ้นไป ท่านวสิษฐก็เล่าว่า วันรุ่งขึ้นตกใจเกือบตกเก้าอี้ เพราะมีพระราชหัตถเลขากลับลงมา เป็นใบปะหน้ามา 1 ใบ แล้วบอกว่าถึงพล.ต.อ.วสิษฐ ซึ่งมีสมเด็จพระเทพฯ เป็นคนจดให้ ข้อหนึ่งที่บอกว่าจะตายแทน ใครจะตายเรายังเหนียวอยู่”

“ข้อสองที่บอกว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นจะขอบวชตลอดชีวิตอุทิศส่วนกุศลให้ ถ้าเรายังไม่ตายเราไม่ยอมให้ไปบวช อย่าไปหาความสุขส่วนตัวเราไม่ยอม ข้อสามระหว่างที่เราทำงานไม่ได้ อะไรที่บอกไปแล้วไม่ต้องบอกซ้ำ ให้ทำหน้าที่ต่อไป ข้อสี่ เขียนมาด้วยพระอารมณ์ขันว่า แบบฟอร์มเวรี่เชย ท่านมีอารมณ์ขันตลอด แม้กระทั่งตอนกำลังป่วย คนที่มีโอกาสใกล้ชิดท่านมากๆ จะรับความรู้สึกตรงนี้มาหมด เรียกว่ายอมตายถวายชีวิตให้ได้”

“เวลาที่ท่านมีพระราชดำริจะรู้เลยว่าท่านไม่ได้คิดเป็นภาษาไทย เพราะพระองค์ท่านโตที่สวิส ภาษาไทยเป็นภาษาที่ 3 ก็ว่าได้ แต่เวลาที่ท่านพูดไม่เคยพูดเป็นสำเนียงฝรั่ง ท่านตั้งใจเวลาที่จะพูดเป็นภาษาฝรั่งเศส หรืออังกฤษ ท่านจะพูดเป็นสำเนียงไทย เพราะท่านต้องการที่จะให้กำลังใจคนไทยที่ไม่ได้ไปโตเมืองนอก เวลาพูดภาษาฝรั่งแล้วอาย เขิน ท่านก็บอกว่าภาษาที่ดีที่สุดคือการสื่อสารออกไปแล้วเข้าใจ แล้วเวลาท่านคิดจะไม่คิดเป็นภาษาไทย สังเกตเวลาถอดความออกมา ถ้าเป็นโจ๊กก็จะโจ๊กแบบฝรั่ง ต้องอ่านแล้วคิดตามถึงจะเข้าใจ ถึงจะขำ มีอะไรที่น่ารักเยอะ”

ส่วนเรื่องราวของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่จะส่งต่อไปสู่เด็กรุ่นหลังนั้น จิ๊บบอกอย่างมั่นใจว่า “ไม่มีใครลืม เพราะอย่างปัจจุบันเรายังไม่เคยลืมพระเจ้าตากสิน ร.1 จนมาถึงปัจจุบัน แต่เรื่องที่จะจางไปตามกาลเวลาเป็นเรื่องของสัจธรรม เพียงแค่เราอยู่ในช่วงเวลานี้เราก็ทำให้ดีที่สุดตามกำลังและสติปัญญาของเรา”

“คนไทยเราหลายๆ คนอาจไม่เคยตระหนักจริงๆ ว่าเราเป็นประเทศ เป็นประชาชนที่โชคดีขนาดไหน ที่มีกษัตริย์อย่างพระองค์ท่าน จนเราเสียพระองค์ท่านไป เรายังรู้สึกว่าไปแล้วจริงๆ เหรอ คนที่เป็นเสาหลักในจิตใจเราตลอด เพราะฉะนั้นความรู้สึกดีๆ เราเก็บไว้ในใจ เอาความเศร้าทั้งหลายผลักเราไปข้างหน้า และรักษาพระราชปณิธานของพระองค์ท่าน โดยการรักและสามัคคีกันให้มากที่สุด ผมเชื่อว่านี่คือสิ่งที่อยู่ในพระทัยของพระองค์ท่านในลำดับต้นๆ”

“พ่อยังไงก็ไม่มีความสุขถ้าลูกๆ ตีกัน”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน