จอย ติตัส อดีตนางแบบดัง งงตัวเองมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง แต่ขอสู้เพื่อครอบครัว ดีกว่าไปยืมเงินคนอื่น แจงสารพัดดราม่าหลังเป็นข่าวดัง

เจอพิษโควิดระบาดระลอก3 ส่งผลกระทบทำให้รายได้จากงานเบื้องหลังภาพยนตร์ ออร์แกไนซ์ และดูแลการตลาดให้บริษัทต่างๆ จากหลักแสนเหลือแค่หลักพัน อดีตนางแบบดังยุค 90 จอย ติตัส ตัดสินใจผันตัวมาเป็นแม่ค้าขายข้าวต้มข้างทาง เพื่อหาเงินเลี้ยงชีพให้ครอบครัวมีกินไปในแต่ละวัน ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด จอย ติตัส ได้เปิดใจกับทาง ข่าวสดบันเทิงออนไลน์ พร้อมแจงสารพัดดราม่าหลังเป็นข่าวดัง โดยบอกว่า “ความที่จอยเป็นคุณแม่ของลูกก็จะกังวลว่าไม่อยากใช้เงินเก่าเก็บหมด กลัวว่าโควิดจะอยู่นาน เดี๋ยวแก้ปัญหาไม่ทัน เลยหาอะไรทำ ตอนแรกทำเกี่ยวกับความสวยความงามก็ไม่รอด เลยทำอาหารดีกว่า รอดระดับหนึ่ง แต่พอตั้งแต่มีข่าวไปลงก็ดีขึ้นเยอะเลย”

ทำไมถึงเลือกเป็นขายข้าวต้ม? “อะไรที่เราทำเก่งสุด เลือกเอาเมนูหนึ่งที่คิดว่าตัวเองทำอร่อยเลยเป็นอันนี้ เริ่มขายมาตั้งแต่โควิดระบาดระลอก3 รอบแรกยังพออยู่ได้ แต่ระลอก3 มาปุ๊บกังวลแล้ว ไม่มีเงินเข้ามาเลย ลูกสาวคนโตเป็นแอร์ฯ ก็ไม่มีเงินเพราะไม่ได้บิน เรามีค่าใช้จ่ายอย่างเช่นค่าเช่าบ้านโน่นนี่ เอาเงินเก่ามาใช้เรื่อยๆ ถ้ามันหมดล่ะ แล้วลูกเรายังเรียนอีก 3 คนก็กังวลหนัก”

ก่อนหน้าที่จะมาเจอผลกระทบจากโควิด มีรายได้จากการทำงานในวงการอย่างเดียวเลยหรือเปล่า? “ไม่ค่ะ เราพลิกตัวเองมาเป็นออร์แกไนซ์ ทำเบื้องหลังภาพยนตร์ บางครั้งก็เป็นอสังหาฯ ด้วย รายได้เป็นแสนต่อเดือน แต่ไม่ใช่ว่างานเดียวเพราะเราทำหลายอย่าง ไม่รู้ว่าขยันหรือว่าไฮเปอร์ ตอนที่มีเงินเยอะๆ ก็ทำงาน เรามีความสุขในการทำงานและโชคดีที่ได้เงินเยอะ”

จากรายได้เดือนเป็นแสน จนมาไม่มีรายได้เลยนานแค่ไหน? “ตั้งแต่โควิดระลอกแรกเลย แต่ว่าตอนนั้นเรายังมีบริษัททำอสังหาฯ มีกลุ่มก๊วน ความอยากโตเป็นผู้ใหญ่ก็ทำบริษัทขึ้นมา เสียศูนย์เลย(หัวเราะ) ค่าใช้จ่ายต่างๆ เราก็ต้องออก ทีนี้เราจะออกได้นานแค่ไหน ตอนแรกก็คิดว่ามันแป๊บเดียว ผ่านไปปีหนึ่งมันเจ็บหนักแล้วอ่ะ”

“เชื่อว่าทุกคนได้รับผลกระทบหมดแหละ ทุกคนที่มีรูปแบบบริษัทหรือลงทุนทำธุรกิจร้านอาหารผับบาร์ตายเรียบเพราะว่าต้องออกค่าใช้จ่ายไปเรื่อยๆ ค่าเช่าเอย ค่าพนักงานเอย นี่คือปัญหาของทุกคนที่เงินมันหายไปแบบนี้ ซึ่งตอนแรกเราเข้าใจว่ามันคงไม่นาน แต่แล้วมันนานไง ปิดเปิดเปิดปิด จนสุดท้ายจอยลาเลย ไม่ไหว”

“ทีนี้ก็มาคิดว่าทำยังไงดี ตอนนี้แค่หาเงินกินข้าวให้ลูกวันๆ ตั้งจุดมุ่งหมายนิดเดียวเอง ไม่ได้หาค่าเช่าบ้านหรือค่าผ่อนบ้าน หาค่าอาหารให้ลูกแล้วตั้งจุดหมายแค่ 300-400 บาทต่อวันเอง อย่าตั้งสูงมากเพราะสถานการณ์ตอนนี้มันเป็นแบบนี้ ทุกวันนี้ทำกำไร 300-400 บาทคือยากนะ ตอนนี้เงิน 100 บาทสำคัญมากเลย”

“แล้วจอยก็มาขายข้าวต้ม ทำกำไรได้ 300-400 บาทต่อวัน แต่มันไม่พอ ถ้าเราเอาไปกินหมดก็กลัวต้นทุนมันจะหายไปด้วย โชคดีที่มีคนมาทำข่าวเลยดีขึ้น วันนี้(6มิ.ย.)ขายได้เกือบ 4 พันบาทเยอะสุดตั้งแต่เปิดขายมา ตั้งแต่วันแรกที่ออกข่าวก็ยุ่งแล้ว พอมาถึงวันนี้เราทำคนเดียวไม่ได้แล้ว ต้องเอาเพื่อนมาช่วยสองคน ขนาดสองคนยังหัวปั่นเลย คนมาเยอะ”

“เทคนิกการขายของเราคือไม่ได้ทำของเยอะมาก ใช้ของดีหมดเร็ว เวลาใครจะมากินต้องรีบมากิน ถ้าช้ากว่านี้คือหมด ตอนแรกที่ยังไม่ได้ออกข่าวใช้เวลา 5 โมงเย็นถึง 4 ทุ่ม ตอนนี้เปิด 6 โมง 2 ชั่วโมงขายหมดเกลี้ยงแล้ว เราขายน้อยมันก็เลยหมดง่าย เพราะเราไม่อยากได้มากกว่านี้ วัตถุดิบทุกอย่างที่ใช้เราซื้อวันต่อวัน ไม่มีเก็บค้างคืน”

ตั้งใจจะขายไปจนถึงเมื่อไหร่? “ตอนนี้จอยมีความสุขกับมันแล้วนะ ตอนแรกพูดตรงๆ จากใจจริงเลย วันแรกที่ไปขายเป็นแม่ค้าไม่ว่า เคยเป็นแม่ค้าเคยขายอาหารเคย แต่มีร้าน อันนี้อยู่ข้างถนน รถเข็นครั้งแรกในชีวิตเลย ไม่ได้อะไรกับมันนะ เพราะคิดว่าเราต้องทำได้ แต่วันแรกที่ไปยืนขายยังพูดกับตัวเองอยู่เลยว่า…กูมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง(หัวเราะ)

“เราเริ่มเศร้า เศร้าได้ยังไงก็ไม่รู้ อยู่หน้าเตาทำแค่อาทิตย์เดียวเห็นผลเลย ร่างกายเรามันเปลี่ยน ฝุ่นเยอะ แดด แป๊บเดียวโทรมเลย เข้าใจคนทำงานหน้าเตามั้ย แล้วพระอาทิตย์อีกอ่ะ ฝ้ามาสิวมาเละ! แต่ตอนหลังคือเราใช้วิธีออกเย็นๆ ไม่เจอพระอาทิตย์ หลายอย่างเราต้องเรียนรู้มัน”

ซีเรียสไหมกับการที่เคยเป็นดารามาก่อน แต่วันนี้ต้องมาขายของข้างถนน? “ไม่เลยค่ะ ที่จอยทำอย่างนี้เพราะอยากให้เพื่อนๆ จอยทุกคน ถ้ามันแย่จริงก็ลุกมาขายของ ไม่ได้ว่าอะไรใคร ถ้าสมมติว่าไม่มีกินแล้วไปขอยืมเงินคนโน้นคนนี้มันไม่ดี ทำงานดีกว่า มาขายข้างๆ กันก็ได้”

“คิดดูว่าจอยอยู่กรุงเทพฯ แถวทองหล่อ ตัดสินใจขับรถมาคันหนึ่งพร้อมเสื้อผ้ายังไม่รู้หมู่หรือจ่าแล้วก็มาเช่าห้องอยู่ ไม่อยากให้เห็นสภาพห้องเลย คือจอยจะเช่าห้องราคาเป็นหมื่นก็ไม่ได้เพราะเรากำลังหาเงิน เลยไปเช่าห้องกับเพื่อนที่เป็นชาวพม่า ซึ่งเราก็อยู่ได้ แค่อยากมีที่นอนให้มันปลอดภัยแค่นั้น คนอื่นอยู่ได้เราก็อยู่ได้มันไม่ได้เสียหาย ไม่จำเป็นต้องอยู่ห้าดาว เราใช้แค่เป็นที่นอน”

“จอยทำได้ทุกคนก็ทำได้ แรกๆ มันจะรู้สึกแปลกๆ ทุกคนจะหันมามองหน้าแบบเธอมาทำอะไรอยู่เนี่ย เขาอยากรู้ว่าจอยเป็นอะไรทำไมจอยมาทำแบบนี้ จอยก็พยายามบอกว่าเราอยากหาเงิน ไม่อยากขอเงินใคร จอยมีเงินตั้งต้นอยู่ 5 พันบาทในการทำร้าน หม้อก็ต้องไปซื้อมือสองหมด รถเข็นก็ไปซื้อแบบที่เขาจอดทิ้งแล้วก็เอามาปรับปรุงหน่อย”

“เราต้องตั้งโจทย์ให้มันถูกไว้ มีเงินค่อยเปลี่ยนใหม่ เพราะเราใช้เงินเยอะกว่านี้ไม่ได้แล้ว พูดตรงๆ เลยจอยนึกว่าบ้านจอยจะล้มละลายได้เลยอ่ะ เพราะว่าพ่อแม่ไม่สบาย เข้าโรงบาลเอกชนทีจะทำยังไง จอยกับลูกสาวคนโตมานั่งคุยกันซีเรียส ถ้ายังปล่อยให้เป็นอย่างนี้กันเราไม่รอด แล้วต่างคนก็ต่างช่วยเหลือกัน”

ตอนนี้อยู่ห้องเช่าคนเดียว แล้วลูกๆ ล่ะ? “ลูกจอยเขาอยู่เองกันหมดค่ะ เราเลี้ยงลูกในสไตล์ให้ช่วยเหลือตัวเอง ไม่ได้หมายความว่าไม่รักนะคะ แต่เลี้ยงแบบสไตล์ฝรั่ง ลูกๆ จอยออกไปเผชิญโลกภายนอกกันหมด เราก็เป็นห่วงแต่ว่าเด็กๆ เก่ง ไม่ดื้อด้วย เอาตัวรอดได้ คิดถึงนะบางทีก็อยากอยู่ด้วยกันแต่ในสภาวะแบบนี้มันอยู่ไม่ได้ ต่างคนก็ต้องต่างทำหน้าที่ของตัวเองไป”

ก่อนที่จะเป็นข่าวมีลูกค้าจำได้ไหมว่าเราเคยเป็นนางแบบมาก่อน? “จำไม่ได้ จอยเป็นคนไม่ค่อยมีข่าว จะหายไปจากสารบบ ตอนเป็นนางแบบก็วางแผนให้ตัวเองว่าทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ถึงจุดหนึ่งทำไมจอยหายไปเพราะเราไปเลี้ยงลูก อยากมีชีวิตที่ดูเด็กๆ โต เลยทำให้เราหายไปเกือบ 20 ปี แล้วเราก็ใช้เงินที่เป็นนางแบบส่งลูกเรียนไปเรื่อยๆ จนลูกโตก็เลยได้กลับมา”

ถามถึงดราม่าต่างๆ ที่โพสต์ในเฟซบุ๊ก? จอยไม่ได้ฟุ่มเฟือย ทุกคนดราม่ามาด่าหาว่าจอยฟุ่มเฟือย จอยเป็นคนที่ขี้เหนียวมาก ส่วนบางอย่างเราผิดเราก็ขอโทษ วันนั้นที่ออกรายการจอยดันไม่ได้ใส่หมวกคลุมผม อารมณ์เจอนักข่าวเม้าธ์มอยกันเลยลืม ต่างคนไม่มีใครเตือนกัน ไม่ทันนึก แต่อันที่ทำไม่ได้ทำขายใครแค่ทำโชว์เฉยๆ แต่ก็ยอมรับว่าผิดและขอโทษทุกคน ขอบคุณที่ตักเตือน”

แต่ก็มีบางคนที่บอกว่าอ้วนอ่ะ โอ๋ย…จะไม่ให้จอยกินข้าวตลอดชีวิตเลยเหรอ ตอนเป็นนางแบบจอยผอมมาก แต่เลิกเป็นนางแบบแล้วจอยควรจะผอมมากมั้ย(หัวเราะ) อยู่กับลูกทำขนม ทำอาหาร แล้วก็กินตามลูกมันเลยกลายเป็นแบบนี้ แล้วลูก 4 คน ความเก็บกดด้วยจอยไม่ได้กินตามใจตัวเองมา 15 ปี บางคนก็ด่าว่าอ้วน ไม่ชอบอ่ะ จอยก็อยากผอมนะแต่จอยก็อยากกินด้วยไง”

อีกเรื่องที่มีคนบอกว่าใช้ความเป็นดารานางแบบให้สื่อมาทำข่าวตัวเอง? สื่อมาเห็นจอยเอง จอยไม่ได้เป็นคนเข้าไปขอร้องให้สื่อมา ใช่…จอยอาจจะมีอะไรพิเศษกว่าคนอื่นแต่ผลลัพธ์ของมันคือแม่ค้ารอบๆ ข้างร้านจอยได้ผลประโยชน์ทุกคน ไม่ใช่แค่จอยคนเดียว คนมากินที่นี่เขาคงไม่อยากกินข้าวต้มอย่างเดียว เขาก็คงอยากกินอย่างอื่นด้วย”

“จอยแค่จุดประกายทำให้ธุรกิจตรงนี้เกิดขึ้น แค่คนอื่นๆ ไม่เข้าใจ จอยรู้ในความรู้สึกของทุกคน แต่ว่าเราได้ช่วยต่อยอดให้คนอื่นด้วยไง ทีนี้เขาคงน้อยใจ ไม่ต้องน้อยใจ บางทีต้องเปิดใจกว้าง ทุกคนไม่เข้าใจก็คิดว่าใช่สิเป็นดารานางแบบอย่างงี้อย่างงั้น เปล่าเลย จอยไม่เคยใช้สิทธิอะไรเลย อยากแจงแค่นี้ว่าจอยไม่ได้เอามาเป็นของจอยคนเดียว แล้วพี่ๆ สื่อเขาก็เอ็นดูเป็นห่วงเพราะเห็นเราหายไปนาน

เพื่อนพ้องในวงการมาถามไถ่บ้างไหม? “ถ้าเพื่อนสนิทจะรู้ว่าจอยเป็นอะไร เราเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ติดดิน ขยันทำงาน ซึ่งก็ทำมาหลายอาชีพ แต่ถ้าคนไม่รู้ก็คือไม่รู้ ที่จริงหลายๆ คนเขาก็ขายของกัน แต่แค่ไม่ได้มาขายข้างถนนอย่างเรา จริงๆ เราเองก็แปลกขับรถไปที่หนึ่งไปขายของ จอยไม่ใช่คนพื้นที่ที่นี่ด้วย มายังไม่ค่อยเป็นเลยตอนแรก ตลกอ่ะเหมือนคนบ้า ดวงชะตามันจะได้ที่นี่แหละ”

“แล้วจอยมาตอนช่วงที่โควิดที่นี่หนักๆ เลย เชื่อมั้ยที่บ้านตกใจมากว่าไปไหนเนี่ย(หัวเราะ) แต่รู้มั้ยว่าที่นี่ดูแลดีมาก เขาจะเอาน้ำคลอรีนลาดพื้นตลอดเวลา แล้วก็จะมีคนมาคอยเช็กว่าใส่แมสก์มั้ย 3ทุ่มก็มาเดินดู ที่นี่ควบคุมดูแลดีค่ะ แล้วที่จอยอยู่มันไม่ได้แออัด ที่สำคัญคือร้อนมากด้วยก็เลยไม่เป็นไร”

เงินเก็บที่มีมาทั้งชีวิตตอนนี้มันหมดเกลี้ยงเลยไหม? “ไม่หมดค่ะ จอยซื้อที่ดินไว้ แล้วก็มีบางอันทำเป็นหอพักต่างจังหวัด ทำธุรกิจไว้ให้ลูกๆ จอยค่อนข้างมีวินัยกับเงินนิดหนึ่ง แต่แค่มันไม่ใช่เป็นตัวเงินสดในธนาคาร มันเป็นรูปแบบของสมบัติมากกว่า”

แสดงว่าไม่ได้มีความคิดที่จะขายที่ดินเพื่อเอาเงินสดมาใช้จ่ายได้มีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ต้องมาขายของข้างถนนแบบนี้? “ไม่ๆๆ อันนั้นคือจอยทำไว้เพื่อให้ลูกในอนาคต สร้างไว้ให้เขา แล้วที่จอยทำอยู่เนี่ยคืออยากต่อยอด ไม่อยากติดลบ ถ้าจอยเป็นคนอีกแบบหนึ่งก็คงจะขายที่แล้วให้ตัวเองอยู่สบายๆ”

“แต่จอยไม่อยากอยู่อย่างนั้น เพราะจนกว่าเราจะซื้ออะไรมาได้มันเหนื่อยไง แล้วกลับแค่หาเงินนิดๆ หน่อยๆ แล้วมันทำให้เราไม่จิตตกด้วย เพราะว่าพอเสพข่าวโควิดมากๆ จะเพี้ยนเอา พอได้ออกไปทำนู่นทำนี่แล้วมีเพื่อนใหม่ ชีวิตมันก็แฮปปี้”

เคยมีความรู้สึกท้อจนถึงขั้นนอนร้องไห้ว่าทำไมต้องมาทำอะไรแบบนี้บ้างไหม? “ทั้งหมดที่จอยทำคิดอย่างเดียวคือทำให้ครอบครัว จอยแฮปปี้ ไม่ท้อ ถ้าไม่มีครอบครัวไม่มีพ่อไม่มีแม่ก็คงไม่ทำ อันนี้ทำเพื่อครอบครัว แล้วจอยทำจอยมีความสุขเวลาให้เขา ไม่ท้อแต่ส่วนมากจะเหงา อยากกลับบ้าน อยากไปอยู่กับลูกๆ แล้วมันทำไม่ได้”

“เราเคยอยู่รวมกันหมดแต่ตอนนี้ต้องแยกหมดเลยมันก็เหงาแค่นั้นเอง คิดถึงทุกคน แล้วก็ไปหาไม่ค่อยได้ด้วยเพราะว่าพ่อแม่ก็ไม่ค่อยสบาย ไม่อยากเข้าไปเพราะเดี๋ยวเผื่อเราเอาอะไรเข้าไป จอยไม่ท้อง่ายๆ สนุกกับการทำงานค่ะ”

ขอบคุณภาพ FB : จอย ติตัส

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน