คำผกา ชี้ศึกชามข้าวหมา ‘ขวัญ’ เป็นคนดังเสียเปรียบ เจอแฉความลับ ชีวิตในวงการพัง ลั่นเป็นอุทาหรณ์จ้างคนต้องคัดกรองให้ดี

เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 9 ก.ย. 2565 ข่าวสดออนไลน์ จัดรายการ “ข่าวจบ คนไม่จบ” ดำเนินรายการโดย อั๋น ภูวนาท คุนผลิน และแขก ลักขณา ปันวิชัย หรือคำ ผกา ในหัวข้อ “ศึกชามข้าวหมา สาวแฉ ขวัญ เจองัดหลักฐานสวน”

อั๋น กล่าวว่า แม่บ้านออกมาแฉนางเอกชื่อดังให้เลี้ยงหมาแมว 12 ตัว ให้กินข้าวชามเดียวกับหมา นอนวันละ 1 ชั่วโมง หลังไล่ออกไม่ให้เงินชดเชย ในที่สุดรู้แล้วว่าเป็นบ้านของขวัญ อุษามณี ซึ่งออกมาตอบโต้ด้วยการเอาหลักฐานจากกล้องวงจรปิดมาเปิดให้เห็น แล้วออกมาปฏิเสธว่า ใครจะให้กินข้าวชามเดียวกันกับหมา

อั๋น กล่าวต่อว่า ขวัญบอกว่ามีหมาตัวหนึ่งที่เป็นตัวโปรดของขวัญและแม่ป่วยหนักมาก อายุเยอะแล้ว เฉพาะตัวนี้ต้องคลุกข้าวเป็นพิเศษ แล้วใช้จานข้าวคน แต่ขวัญกับแม่บอกว่าจานนั้นถ้าคลุกข้าวและป้อนหมาเสร็จ เราก็ล้าง แม้แต่ขวัญกับแม่ก็ทานข้าวจานเดียวกันกับหมาตัวนี้ได้ แต่ไม่ใช่จานเดียวกับที่หมาเอาหน้าซุกในจานแล้วกิน ใช้แค่คลุกแล้วปรุง มันมีแค่จานนี้เท่านั้น แต่ก่อนจะเอาไปใช้กับคนก็ล้างก่อน คนที่รักหมามากก็ใช้อันเดียวกันได้เลย

อั๋น กล่าวอีกว่า อย่างของตนคือต้องล้างก่อน ถ้าเราถูกคนกล่าวหาว่าบังคับให้ใช้ช้อนส้อมคันเดียวกันกับหมาขึ้นมา มันก็เป็นไปได้ มันอยู่ที่เจตนาและการบิดพลิ้วของคนที่ตั้งใจจะพูด ตนไม่ได้เข้าข้างขวัญกับแม่ แต่เข้าใจสิ่งที่เขาอธิบายมา แล้วขวัญก็เล่าให้ฟังอีกว่า จริงๆ แล้วแม่บ้านไม่ได้ตั้งใจจะดูแลน้องหมาอย่างที่สัญญาเลย แต่ทั้งหมดอยู่ในสัญญาว่าให้ลองงานกันดูก่อน ถ้าทำงานได้ไม่ดีก็จะไม่ให้เงิน แล้วแม่บ้านก็ออกมาว่าทางบ้านขวัญว่าเบี้ยว ทั้งที่มีการตกลงเรื่องค่าตัวกันแล้ว ทางฝั่งของขวัญกับแม่ก็บอกว่าจ่ายเงินแล้ว แต่จ่ายให้กับเอเย่นต์

อั๋น กล่าวต่อว่า เดี๋ยวนี้บางทีรับสมัครแม่บ้าน เขาไม่ได้มาสมัครโดยตรง แต่เขามีตัวแทน หรือศูนย์ที่เขาอยู่มาก่อน มีการอบรมแล้วส่งมา เวลาจ่ายเงินเดือนเราไม่ได้ยื่นให้แม่บ้านโดยตรง เราจ่ายให้กับศูนย์ ทางขวัญกับแม่ก็บอกว่าเขาไม่ได้เป็นโรคจิต เขาแยกแยะได้ แล้วการให้คนกินข้าวจานเดียวกับน้องหมาน้องแมวก็ไม่ได้สร้างความต่างอะไรกับชีวิต แล้วจะไปบังคับให้เขาทำแบบนั้นทำไม เพราะไม่ได้โกรธ ไม่ได้เกลียด ไม่ได้เป็นโรคจิต มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องทำแบบนั้น

อั๋น กล่าวอีกว่า พอฟังที่ขวัญพูดก็รู้สึกว่าจริง อยู่ดีๆ เขาจะไปทรมานทำไม ถ้ามองในมุมนี้ ส่วนเรื่องที่ให้นอนชั่วโมงเดียว ขวัญก็บอกว่าไม่เป็นความจริง เราก็ตัดสินว่าคนไหนพูดแล้วมันสมเหตุสมผล เพราะไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ นอกจากกล้องวงจรปิดที่พิสูจน์ให้เห็นว่าเขานอนที่ไหน ถ้าแน่จริง ตนคิดว่าทางพี่เลี้ยงคนนี้คงไม่ใช่แค่ใช้สื่อโซเชียล ควรรวบรวมหลักฐานที่เขามี ดำเนินคดีไปเลยดีหรือไม่ ทางขวัญกับแม่ก็จะได้เอาหลักฐานที่เขามีมาดำเนินคดีกลับ หรือพิสูจน์ตัวเอง จะได้มีหลักฐานมาสวนกัน จะได้ไม่ต่างคนต่างพูดสลับกันไปมากลายเป็นดราม่า

“เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านของคนดัง ขวัญก็บอกว่าเขารู้สึกว่าเขาเสียเปรียบ ในกรณีที่เขาเป็นคนมีชื่อเสียงเลยถูกโจมตี คนเลยดราม่ากันง่ายๆ ทั้งที่แม่บ้านคนนี้มีพฤติกรรมหลายอย่าง เช่น ตอนที่ขวัญกับแม่ไม่อยู่บ้าน เขาก็ถ่ายรูปในบ้าน แล้วโพสต์มุมต่างๆ ในบ้าน บอกว่าทำงานอยู่บ้านขวัญ”

อั๋น กล่าวต่อว่า ตนก็เคยโดน แม่บ้านไลฟ์ในบ้าน แล้วตนไปเจอรูปเขาในยูทูบ เขาไปเอาหมวกของแฟนตนที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าในห้องแต่งตัวมาใส่ถ่ายรูป แล้วเอาไปโพสต์ลงโซเชียล เราไม่ได้รังเกียจว่าเขาใส่หมวกเราไม่ได้ แต่เรารู้สึกว่าไม่มีมารยาท แต่อีกอย่างนึงเรารู้สึกว่าการไลฟ์ในบ้าน เป็นการเปิดให้มิจฉาชีพเห็นว่าบ้านเราหละหลวมตรงไหน ทางเดินเป็นยังไง ถ้ามิจฉาชีพที่เป็นมืออาชีพจริงๆ เขาสามารถทำแผนผังในบ้านเรา กะระยะเวลาที่จะก่อเหตุ รู้หมดเลยว่าเราวางของไว้ตรงไหน ทำให้เรารู้สึกไม่ปลอดภัย ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน

อั๋น กล่าวอีกว่า ปัจจุบันทางฝั่งแม่บ้านประกาศว่ายุติแล้ว ขวัญกับแม่ก็คิดว่าจะจบ แต่มันเป็นอุทาหรณ์ให้เห็นทั้งสองฝั่ง อย่างทางฝั่งคนดังก็อาจจะกลัวว่าจะเจอแม่บ้านลักษณะนี้ ส่วนทางฝั่งแม่บ้านถ้าเขาเป็นผู้เสียหายจริง ก็อาจจะกลัวว่าเป็นคนดังหากพูดอะไรก็จะมีแฟนคลับเข้ามาด่า

ด้านคำ ผกา กล่าวว่า ตนคิดว่าเรื่องนี้ มองในอีกแง่มุม จริงๆ แล้วคนดังเสียเปรียบ เวลาที่คุณเป็นระดับดารา เป็นอั้ม พัชราภา เป็นขวัญ อุษามณี แล้วคุณมีแม่บ้าน ถ้าคุณทำพลาดนิดเดียว มันเสียหายมาก มันมีหน้าตาให้แบกรับ ถ้าไปทำไม่ดีกับแม่บ้านนิดเดียว อาชีพการงานพังหมด หรือถ้าเป็นชมพู่ อารยา แล้วไปปฏิบัติกับแม่บ้านเหมือนทาสในเรือนเบี้ยหรือไปทำแบบกิ๊ก ส.ว. ชีวิตนี้คุณไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดในวงการอีกเลย

“ในความเป็นเซเลบริตี้ มันจะมีภาระที่เพิ่มขึ้นมา ทุกครั้งที่จ้างคนมาทำงานบ้าน จะต้องพยายามอุดรูรั่วไม่ให้เขาเอาไปพูดว่าเราเอารัดเอาเปรียบ เรากดขี่ เพราะสมัยนี้ทุกคนมีมือถือ ทุกคนมีโซเชียลมีเดีย ทุกคนเป็นสื่อได้ด้วยตัวเอง แล้วมันง่ายมากที่เราจะโดนแบล็กเมล์ เกิดเขาไปทำความสะอาดห้องเรา แล้วไปเจอความลับอะไรบางอย่าง เอาไปแฉเอาไปขาย การเป็นคนดัง การมีบริวาร หรือคนใกล้ชิดเข้านอกออกใน เป็นเรื่องที่ลำบากมาก”

“คนชอบพูดว่าระหว่างคนดังกับแม่บ้าน โดยสถานะทางสังคม คนดังได้เปรียบ แต่แขกมองในทางตรงกันข้าม คนดังเสียเปรียบ แค่เขาเจอของในบ้านคุณสักชิ้น แล้วเขาเอาไปขายให้นักข่าวโต๊ะบันเทิง คุณก็พังแล้ว”

คำ ผกา กล่าวต่อว่า จะไม่พูดว่าแม่บ้านผิดหรือถูก อันนี้เป็นอุทาหรณ์สำหรับคนดังทุกคน ถ้าจะคัดกรองคนมาทำงานในบ้าน คุณต้องคัดกรองเป็นสิบเท่าร้อยเท่าของคนทั่วไป ถ้าเป็นไปได้ไม่ควรจ้างใครมาอยู่ในบ้านโดยพลการ อะไรที่จ้างมืออาชีพทำได้ก็ทำ แล้วถ้าคุณเป็นคนดัง คุณต้องจ่ายแพงกว่าสองเท่าสามเท่า เพื่อได้คนที่ดีที่สุด และไม่สร้างปัญหาให้คุณ เรื่องนี้เป็นบทเรียนว่าคุณจะสะเปะสะปะจ้างคนโดยไม่คัดกรองไม่ได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน