วันที่ 10 เม.ย. ที่ ลานด้านหน้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว ขวัญ-อุษามณี ไวทยานนท์ นางเอกสาวชื่อดัง ให้สัมภาษณ์ในงาน “สมหวัง เงินสั่งได้” แคมเปญ “สมหวัง ห่วงใยคนบ้านเดียวกัน” ถึงเรื่องที่ นางปราณี พูลเกิด คุณแม่ของตัวเอง ทักท้วงและฟ้องร้องธนาคารดัง หลังเงินหายจากบัญชีนับล้านบาท โดยทางธนาคารร่อนจดหมายชี้แจงว่าเป็นยอดเงินที่มีการใช้จ่ายจริง

ถามถึงเรื่องที่คุณแม่ออกมาทักท้วงเรื่องที่ว่าเงินในธนาคารหายหลายแสน ซึ่งภายหลังธนาคารออกมาชี้แจงว่าเป็นทางเราใช้จ่ายเอง?
“ไม่ใช่นะคะ ขวัญว่าอาจจะเกิดการเข้าใจผิดกันระหว่างคนที่ให้ข่าวของธนาคาร จริงๆ ก่อนหน้านี้เราไปทำเรื่องทักท้วงและได้เงินกลับมาแล้ว 6 แสนบาท ซึ่งเป็นจำนวน 6 เดือนหลังหรือ 3 เดือนหลังนี่แหละ แต่เงินของคุณแม่ที่หายไปคือจำนวน 1.2 ล้านบาท ที่ผ่านมาเราทักท้วงไปตลอดซึ่งเป็นสาขาบริเวณใกล้บ้าน แต่ถึงเวลาสำนักงานใหญ่บอกว่าในระยะเวลาที่เราทักท้วงไปมันเกิน 120 วันแล้วไม่สามารถนำเงินมาคืนได้พาร์ตหลัง”

“ทางเราก็อยากได้ความยุติธรรม ในฐานะที่เป็นประชาชนในการที่จะเก็บเงินเราก็ต้องการสถานที่ที่ปลอดภัย ถ้าเป็นในส่วนที่เราใช้จ่ายจริงตรงนี้เราจะยอมรับได้ แต่นี่มันมาจากการใช้จ่ายไม่จริง ฉะนั้นเราก็ต้องการที่จะเรียกร้องสิทธิตรงนี้ แต่ว่าถึงเวลาการทำงานมันก็ต้องเป็นไปตามระบบ ในเมื่อเราเป็นลูกค้าและมีการทักท้วงไปตลอด สิ่งที่ทางธนาคารแจ้งมามันไม่ใช่คำตอบที่จะบอกเราว่าเกิน 120 วัน”

จริงๆ แล้วเงินอีก 6 แสนบาทที่ยังไม่ได้คืน ทางเรามีการใช้จ่ายจริงไหม?
“ไม่จริงค่ะ ทุกอันก็เป็นสิ่งที่ทางธนาคารไม่สามารถให้คำตอบเราได้ ถ้าเกิดว่าขวัญใช้จ่ายจริงธนาคารต้องมีกระบวนการในการตรวจสอบแล้วแต่ ว่าในส่วนแรกเขาได้คืนเงินจำนวน 6 แสนบาทมาให้ขวัญ แต่ยังคงค้างอยู่อีก 6 แสนบาท แล้วถ้าขวัญใช้จ่ายจริงธนาคารจะไม่มีทางจ่ายเงินคืนในล็อตแรกมาให้ขวัญถูกมั้ย เพราะมันคือการเสียประโยชน์ แต่ในเมื่อคุณรับผิดชอบแล้วคุณก็ต้องรับผิดชอบให้ดีที่สุด ไม่ใช่เหตุผลที่จะมาบอกลูกค้าว่าเกินระยะเวลาทักท้วง 120 วัน แล้วเราเป็นลูกค้าก็ต้องการองค์กรที่จะดูแลเงินของเราอย่างปลอดภัย ถึงเงินจะสูญเสียไปแล้วคุณก็ต้องหาเงินกลับมาชดใช้คืนเราให้ได้หรือเป็นคำขอโทษก็ยังจะรู้สึกดีกว่า”

แล้วที่ธนาคารบอกว่าหักจากบัตรเครดิตที่ทางเราใช้จ่ายจริง?
“ไม่ใช่ค่ะ อันนี้มันมีหลักฐานข้อมูลที่เราทำเรื่องทักท้วงไปแล้วอยู่ในขั้นตอนของศาลเรียบร้อยแล้วด้วย ตรงนี้มันเหมือนเป็นการผลักภาระไปให้คนอื่นและผลักความรับผิดชอบไปมากกว่า ทางธนาคารก็มีการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่คืนเงินจำนวนก้อนแรกมาให้คุณแม่ของขวัญ แต่ในจำนวนก้อนหลังเหตุผลที่เขาไม่คืนบอกว่ามันเกินระยะเวลา 120 วัน มันไม่ใช่เหตุผลที่เขาไปบอกกับสื่อเพื่อที่จะปกป้องตัวเองแบบนี้ ซึ่งขวัญมองว่ามันเป็นลักษณะที่ผิด”

เข้าไปคุยไปเคลียร์อีกรอบไหม?
“ตอนที่กลับมาจากอังกฤษก็ได้เข้าไปคุยกับทางธนาคารแล้ว แต่เขาเรียกเข้าไปบอกวิธีการทำงานของการจ่ายเงินซึ่งเราทราบอยู่แล้ว แต่ที่ไปคือต้องการทราบในระบบดาต้าข้อมูลของเขา พอถามรหัสตัวเลขที่เป็นโค้ดไป เขายังไม่สามารถให้คำตอบขวัญได้เลย ขวัญไม่ได้กล้าท้าให้เช็กอะไร คือขวัญกับคุณแม่ทำทุกอย่างไปตามกระบวนการ แต่ว่าสาขาย่อยกับสำนักงานใหญ่ได้ประสานงานกันดีหรือยัง หรือว่าคุณโยนความผิดมาให้ลูกค้าโดยใช้คำพูดแบบนี้ว่ามันเป็นการใช้จ่ายจริง ถ้าเป็นการใช้จ่ายจริงแล้วขวัญเป็นบุคคลสาธารณะ ขวัญไม่ออกมาทำให้ตัวเองเสียหายหรอก มันไม่คุ้มกัน”

เงินจำนวน 1.2 ล้านบาทหายไปได้ยังไง?
“อันนี้คือเขาคุยกับคุณแม่ค่ะ ขวัญทราบแค่ว่ามันมียอดเงินโอนมาให้ 6 แสนบาท ถามว่ามีโอกาสจะได้เงินในส่วนที่เหลือคืนมั้ย คงไม่มีโอกาสเพราะเขาก็คงจะดึงไปเรื่อยๆ ตอนนี้ก็ดำเนินการไปตามกฎหมาย คุณแม่ก็ให้ทนายจัดการซึ่งอยู่ในขั้นตอนของการฟ้องศาล”

รู้สึกยังไงที่เงินหายไปจำนวนมากขนาดนี้?
“ไม่ว่ายังไงค่ะ ถ้ามันเป็นความผิดพลาดจริงๆ ควรจะขอโทษหรือใช้เหตุผลอื่นดีกว่ามั้ย แทนที่จะโยนความผิดมาให้คนอื่นแบบนี้มันไม่แฟร์ หลังจากที่ทางธนาคารได้ทำจดหมายชี้แจงออกมาก็ได้มีการคุยกับคุณแม่ เขาบอกว่าก็ต้องปกป้องตัวองค์กรของเขาเอง ซึ่งตรงนี้ขวัญก็เข้าใจแต่ก็อยากให้ทุกอย่างมันเป็นไปในทางที่ถูกต้องเพราะคุณคือองค์กรอย่าง ถ้าขวัญผิดจริงคงไม่ออกมาเรียกร้องสิทธิตรงนี้หรอกเพราะเท่ากับว่าขวัญเองก็จะเสียหายมาก อีกอย่างขวัญว่าเขาเป็นองค์กรที่น่าจะมีความสามารถเพียงพอที่จะดูแลยอดเงินจำนวนนี้ได้ มั่นใจว่ามันอาจจะไม่ได้มากสำหรับธนาคารที่จะไม่สามารถรับผิดชอบได้ แต่มันมากพอสำหรับขวัญและครอบครัวของเรา เพราะอย่าลืมว่าขวัญเป็นคนทำงานทุกอย่างด้วยตัวเอง เงินทุกอย่างก็ได้มาด้วยความสุจริต ไม่ได้มีใครมาช่วยขวัญ”

คิดว่าจะได้คืนไหม?
“คิดว่าไม่ได้คืนหรอกค่ะ เพราะถ้าจะได้คืนเขาคงไม่ออกมาทำร้ายตัวเองแบบนี้ และไม่ใช้เหตุผลแบบมัดมือชกเรื่องระยะเวลาเกิน 120 วันแน่ๆ อีกอย่างคุณแม่ขวัญก็ไม่ได้ใช้เงินเยอะขนาดนี้หรอกค่ะ ตอนนั้นที่ใช้คือเราใช้จ่ายที่เราไปโคกับเฟซบุ๊กไลน์ยูซี่ ซึ่งตอนนั้นคือระยะเวลามันปิดแล้ว แต่ทำไมเงินมันถึงไล่ออกไปเรื่อยๆ แบบไม่มีจุดหมายปลายทาง พอเราถามก็หาคำตอบให้ไม่ได้”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน