รีวิว Gravity Rush 2 (ที่มา Thaigamewiki)

หลังจากใช้เวลาอยู่ในโลกของ Gravity Rush 2 ไปหลายสิบชั่วโมง ผมก็ต้องฝืนใจตัวเองให้วางจอยไปทำธุระชีวิตอย่างอื่นบ้าง…ซึ่งมันยากจริงๆ ครับ

ก็แหม่…เกมมันสนุกออกขนาดนี้!

แต่ใช่ว่าเกมสนุกเล่นเพลินแบบนี้จะไม่มีข้อเสีย ที่จริงมันก็มีอยู่หลายข้อเหมือนกันครับ เดี๋ยวผมจะค่อยๆ แจกแจงให้ฟัง

สำหรับ Gravity Rush 2 เป็นภาคต่อเนื่อง ที่มีเนื้อเรื่องต่อจากภาคแรกที่ออกเมื่อปี 2555 โดยหลังจากสาวสวยผิวเข้ม “แคท” (Kat) ร่วมมือกับ “ราเวน” หญิงหน้าขรึม (อดีตคนผิดใจกันที่สุดท้ายกลายเป็นเพื่อนสนิท) ช่วยกันปกป้องเมือง Hekseville ไว้จากเหล่า เนวี (Nevi) อสูรแรงโน้มถ่วงที่หลุดออกมาจาก Gravity Storm

ต่อมา (จากเหตุการณ์ในการ์ตูนเรื่อง Gravity Rush Overture ที่ใช้เชื่อมระหว่างภาคแรกกับภาคสอง) แคท ราเวน และเพื่อนชายอีกคนชื่อ ซิด ตกไปในพายุหมุนแรงดึงดูดแล้วถูกเหวี่ยงกันไปคนละทิศละทาง ก่อนที่ทางฝ่ายแคท และ ซิด จะได้รับการช่วยเหลือไว้โดย หมู่เรือเหาะ-อาณานิคมลอยฟ้า ของชาวเหมือง ที่ใช้งานตัวเอกของเราให้ช่วยทำงานถลุงแร่แรงโน้มถ่วง Gravity Ore (หรือ Gems ที่ใช้เป็นต้นทุนในการอัพสกิลในการเล่น) เพื่อแลกกับอาหารและที่ซุกหัวนอน

เกมเริ่มตรงนี้แหละครับ ผู้เล่นจะได้ฝึกฝน เรียนรู้ปุ่มต่างๆ จากการทำงานให้ชาวเหมืองลอยฟ้า จนเนื้อเรื่องเดินไปถึงจุดที่แคทพบกับแมวดัสตี้ (Dusty) อีกครั้ง ซึ่งหมายถึงพลังในการควบคุมแรงโน้มถ่วงของเธอได้กลับคืนมา ตอนนั้นแหละ การเล่นที่แท้จริงจึงเริ่มขึ้น ผู้เล่นจะได้ต่อสู้กับเหล่าเนวีตัวเล็กตัวน้อย ไปจนถึงขนาดใหญ่บ้างบางที

จุดเด่นแรกที่ถือเป็นจุดแข็งสุดของเกมก็เฉิดฉายในช่วงแรกนี้เหมือนกัน นั่นก็คือ การล่องลอย/พุ่ง ไปบนท้องฟ้า…ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็คือการ “ตก” ไปตามทิศทางที่แคทเป็นคนกำหนด ช่วงระหว่างเดินทางด้วยวิธีแบบนี้ มันให้ภาพที่ประทับใจมาก คล้ายกับเวลาเราอ่านวรรณกรรมแฟนตาซีที่ตัวเอกเหาะได้ ซึ่งเราก็ทำได้แค่จินตนาการภาพเหล่านั้นเอาเองในหัว แต่นี่มันเห็นภาพจริง บังคับทิศทางได้จริง ที่สำคัญภาพมันสวยซะด้วย…

ซึ่งก็ต่อเนื่องมาสู่จุดเด่นข้อต่อมา กับความสวยงามนั่นเอง ต้องบอกว่า Gravity Rush 2 เป็นภาคต่อที่มีคุณภาพงานกราฟฟิกเหนือกว่าภาคแรกแบบไม่เห็นฝุ่น มันใช้พลังของเครื่อง PS4 อย่างเต็มที่ แถมรายละเอียดในฉากก็มีความลึก มีมิติ มีการออกแบบองค์ประกอบศิลป์ที่ดี ทำให้เกิดโลกแฟนตาซีที่มีชีวิตชีวาดุจการ์ตูนแอนิเมชั่นชื่อดังทั้งหลาย…ใครอยากพิสูจน์ก็ลองหาคลิปตามยูทูบที่เป็นฉากเมืองมาดูก็ได้เลย

พูดถึงเกมภาพสวยและงานศิลป์ในเกมแล้ว ก็ต้องพูดถึงอีกองค์ประกอบหนึ่งที่ขาดไม่ได้นั่นคือ เพลงประกอบที่ตัวเกมเลือกใช้เพลงแจ๊ซ! คุณผู้อ่านเชื่อมั้ยครับว่า เพลงแจ๊ซกับเรื่องราวแฟนตาซีเนี่ย มันเข้ากันได้ดีเป็นบ้าเลย! ลองนึกเพลงตอนจบของการ์ตูนดังเรื่อง “คอบร้า เห่าไฟสายฟ้า” ดูก็ได้ครับ อารมณ์แบบนั้นนั่นแหละ

จุดเด่นสุดท้ายที่เกมแสดงออกได้ชัดเจนก็คือ มันเป็นเกมแพลตฟอร์มโดยธรรมชาติครับ …หมายถึงตัวฉากต่างๆ ที่ล้วนเป็นเมืองลอยฟ้า เมื่อนำมารวมกับความสามารถของนางเอกที่มีพลังเกี่ยวกับแรงโน้มถ่วง ผลที่ได้ก็คือ การเดินทางในฉากแบบครบทุกมิติ รอบทิศ 360 องศา ยกตัวอย่างให้เห็นภาพคือ เกมนี้มักนำ Gems ไปวางไว้ “ด้านล่าง” ของเกาะ/เมือง ลอยฟ้าทั้งหลาย ทำให้ผู้เล่นต้องใช้พลังกลับหัวกลับหางเพื่อเดินทางไปสะสม Gems เหล่านั้น (นึกภาพแบบมาริโอ้กาแลคซี่ไว้นะครับ) ซึ่งไอ้การเล่นแบบนี้แหละ มันสร้างความเพลิดเพลินได้แม้แต่ช่วงเดินเล่นชิลๆ ในเมือง ยังไม่ใช่การตะลุยฉากบู๊ฝ่าดงศัตรูด้วยซ้ำไป

มาถึงข้อติกันบ้าง อันดับแรกคือการร้อยเรียงภารกิจ จะว่าไป รูปแบบของภารกิจก็ด้วยเหมือนกัน กล่าวคือ …ผมอธิบาย “โครงสร้าง” คร่าวๆ ของ Gravity Rush 2 ก่อน จริงๆ มันคือเกมที่ให้ผู้เล่นท่องไปตามพื้นที่ต่างๆ โดยสถานที่แต่ละแห่งจะมีสิ่งเหล่านี้ คือ 1 ภารกิจหลัก (Story Mission) 2 ภารกิจเสริม (Side mission) 3 Challenge (ภารกิจย่อยที่มีเป้าหมายเฉพาะ เช่น ฆ่าศัตรูให้มากที่สุดในเวลาเท่านั้นเท่านี้ โดยคะแนนจะใช้แข่งกับผู้เล่นคนอื่นทั่วโลก) และ 4 NPC ให้ไปคุยหาข้อมูล ทีนี้ ภารกิจเสริม มันเยอะมากครับ ไม่เล่นก็ไม่ได้เพราะเป็นแหล่งเก็บทรัพยาการ ไม่งั้นก็ต้องใช้เรือขุดแร่ลงไปหา Gems เอาเอง

ทีนี้ พอ Side mission มันเยอะแล้ว แต่สิ่งที่ให้ทำนี่สิ มันสมเป็นเกมญี่ปุ่นจริงๆ เพราะมันเหมือนรวมมินิเกมตลกๆ ให้แคทไปส่งหนังสือพิมพ์บ้าง ไปตามหาเป็ดหลงทางบ้าง ฯลฯ ซึ่งมันก็ขำดีนะครับ แต่ผมเป็นห่วงคนที่ซีเรียสซักหน่อย เจอแบบนี้เข้าไปอาจมีเบื่อๆ บ้าง

จุดด้อยต่อมาคือมุมกล้อง อันนี้พบได้ค่อนข้างบ่อย โดยเฉพาะตอนซัดกับศัตรูเยอะๆ หากเราลอยไปทั่วฉากที่มีอาคาร หรือสิ่งปลูกสร้างบดบัง กล้องมันจะหมุนหลบแปลกๆ เหมือนมันตามไม่ทันทำให้มองไม่เห็นตัวละคร ส่วนศัตรูยิ่งแล้วใหญ่ เล็งอยู่ดีๆ ไม่รู้หายไปไหนแล้ว ต้องลอยตัวค้นหากันประจำเลย

จากที่กล่าวไปทั้งหมด ผมสรุปออกมาแบบนี้ครับ Gravity Rush 2 เป็นเกมที่ “สร้างโลกจำลอง” ออกมาได้ดี ทำให้เราเชื่อในชีวิตเหล่านั้น และตรรกะทางฟิสิกซ์เฉพาะตัวของเกมนี้ก็เป็นสิ่งที่ดีงามเลอเลิศที่สุดของเกม แถมมันยังเล่นได้ยาวๆ กว่าจะจบนี่ 30 ชั่วโมงต้องมี ซึ่งถือเป็นความ “คุ้มค่า” สำหรับราคาเกมทุกวันนี้ครับผม

โดย ปอลนาโช่

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน