เมญ่า ยันสถานะครอบครัวยังดี นอยด์จัด! ดราม่าบ้าติ๊กต็อก-ไม่เลี้ยงลูก

ดาราสาว เมญ่า นนธวรรณทัศ ยืนยันสถานะครอบครัวยังดี เผยนอยด์จัด! เกือบเป็นโรคซึมเศร้า หลังเจอดราม่าบ้าเล่นติ๊กต็อก จนไม่มีเวลาเลี้ยงลูก

หลังดาราสาว เมญ่า นนธวรรณทัศ บรามาซ ออกมาเปิดเผยว่า น้องเบฬิน ลูกชายสุดที่รัก เกิดอุบัติเหตุถูกหมากัดเข้าที่ใบหน้าระหว่างที่อยู่ประเทศสเปน บวกกับปัญหาหลายอย่างทำให้ตัวเองมีอาการเครียดถึงขั้นต้องปรึกษานักบำบัดจิต

กดติดตามไลน์ ข่าวสด official account ได้ที่นี่

18 ธ.ค.2563 ได้เจอ สาวเมญ่า ในงาน Gala Night Fashion Show ในโครงการสืบสานภูมิปัญญา OTOP ผ้าไทยและเผยแพร่อัตลักษณ์แห่งสยาม ที่ Royal Jubilee Ballroom อิมแพค เมืองทองธานี จึงสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมอัพเดตสถานะครอบครัวกับสามีชาวต่างชาติ

สถานะครอบครัวตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?

“ก็ดีค่ะ ปกติดีค่ะ ไม่ได้หย่าตั้งแต่แรก แค่อยู่ในช่วงที่ห่างกันเฉยๆ เมื่อปีที่แล้ว และก็เป็นการคุยกันปกติว่าเอายังไงไหวหรือเปล่า”

อะไรคือสิ่งที่ทำให้เราปรับเข้าหากันได้ในที่สุด?

“มันเป็นเรื่องของช่วงเวลาด้วยนั่นแหละค่ะ ช่วงโควิด-19 ช่วงที่ 5-6 เดือนเราต่างคนต่างไม่ได้กลับมาเจอกัน ซึ่งพอได้เจอปุ๊บก็โอเคค่ะ ดีเลย รวมถึงตอนที่เกิดอุบัติเหตุกับลูกด้วย กรณีที่เขาโดนหมากัดกับไหปลาร้าหัก ซึ่งตอนนี้ทุกอย่างก็ดีขึ้นแล้ว ลูกก็กลับมาเป็นปกติ มีรอยแผลเป็นนิดๆ หน่อยๆ”

หัวอกแม่ตอนที่เห็นลูกเจ็บขนาดนั้น เป็นยังไงบ้าง?

“แม่ดาวน์เยอะเลยค่ะ กว่าจะกลับมาหัวเราะได้ยิ้มได้ หรือกว่าจะกลับมาเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ก็ต้องใช้เวลาอยู่เหมือนกันค่ะ เพราะมันก็กระทบจิตใจพอสมควร”

พอจะเล่าได้ไหมว่าตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น?

“ถ้ากรณีหมากัด ตอนนั้นก็เป็นจังหวะที่ญ่ากำลังทำกับข้าวอยู่ค่ะ ส่วนลูกก็อยู่กับพ่อ แต่เหมือนว่าพี่หมาเขาเดินตามลูกญ่าเข้าไปในห้องที่พ่อเขาโทรศัพท์อยู่ และมันก็น่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรสักอย่าง แต่เท่าที่สอบถามคือลูกก็ไม่น่าจะไปทำอะไรพี่หมาอยู่แล้ว น่าจะเป็นในลักษณะของพี่หมาเขาหวงพ่อมากกว่าก็เลยกัดลูกที่หน้า”

หมาตัวนี้เขาอยู่กับครอบครัวเรามานานแล้วหรือยัง?

“อยู่มานานแล้วค่ะ แต่น่าจะเป็นเพราะเราไปๆ มาๆ ด้วยพี่หมาเขาเลยไม่ค่อยชิน ซึ่งตอนนี้จากที่พูดคุยกับสามีก็สรุปว่าให้เขาแยกพื้นที่กัน”

เรื่องนี้ทำให้เรากับสามีทะเลาะกันด้วยหรือเปล่า?

“ไม่เชิงทะเลาะหรอกค่ะ แต่เหมือนเรารู้สึกแย่มากกว่า เพราะญ่าเคยบอกแล้วว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่ญ่ากลัวที่สุดและก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น ซึ่งพอมันเกิดปุ๊บเราก็บอกไปว่าเราเตือนแล้ว ส่วนทางสามีเองก็โอเคเขาก็ยอมรับว่าคงต้องแยกแล้วจริงๆ”

กลัวไหมว่าจะมีแผลเป็นบนหน้าลูก?

“กลัวอยู่แล้วค่ะ กลัวตั้งแต่เกิดเรื่องเลย ที่แม่ร้องไห้หนักก็เพราะกลัวลูกเป็นแผลเป็นนี่แหละ ทุกคนที่รู้ข่าวก็เป็นห่วง ทุกข์มากค่ะ”

ต้องพาลูกไปฉีดยาป้องกันต่างๆ ด้วยไหม?

“พี่หมาที่บ้านเขาฉีดยาเป็นปกติอยู่แล้วค่ะ เรื่องนี้ก็เลยไม่ได้มีปัญหาอะไร จะมีก็แค่รักษาแผลในช่วงนั้นตามอาการ”

เจอเหตุการณ์แบบนี้ลูกเรากลายเป็นว่ากลัวหมาไปเลยไหม? “ไม่เลยค่ะ ลูกหนูไม่กลัวหมาเลย แฮปปี้กับพี่หมาด้วยซ้ำ ยังอยากเล่น ยังอยากกอด ยังอยากจูบพี่หมาเหมือนเดิม มีแต่เรามากกว่าที่เวลาเห็นหมาก็จะรีบอุ้มลูกขึ้นสูงๆ เอาลูกก่อน แม่ระแวงกว่าลูกค่ะ ส่วนชีวิตครอบครัวหลังได้กลับมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าก็โอเคนะคะ แฮปปี้ค่ะ”

กลับไทยคราวนี้กักตัวเรียบร้อยแล้วใช่ไหม? “เรียบร้อยแล้วค่ะ ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าออกมายืนต่อหน้าพี่ๆ (หัวเราะ) กักตัวไปทั้งหมด 16 วันสวยๆ และสาเหตุที่กลับมาก็เป็นเพราะว่ามาร่วมงานแต่งเพื่อน งานแต่งแก้ว (ยิ้ม) ก็เลยยอมกักตัวยอมอยู่นี่แหละ”

สามีเขามีแพลนจะตามมาด้วยไหม? “ตอนแรกก็อยากตามมาค่ะ แต่เขาเองก็ต้องดูตารางอะไรหลายๆ อย่างของเขาด้วย รวมถึงเรื่องของพี่หมา ใครจะมาช่วยดูแลพี่หมาให้เราได้บ้างในช่วงที่เรามาไทย”

สรุปก็คือสถานะครอบครัวเรายังเหมือนเดิมปกติ?

“ใช่ค่ะ เหมือนเดิมปกติไม่ได้มีปัญหาอะไรค่ะ แต่ก่อนหน้านี้ก็มีปัญหาจริงๆ เคยอัพเดตไปแล้วก็หน้านี้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันเป็นช่วงที่เราต่างคนต่างถอยเพื่อดูว่าอะไรเป็นยังไง และญ่าเองก็พูดชัดเจนมาตลอดว่าเราไม่ได้หย่า เราแค่ถอยห่างออกมาเฉยๆ”

เรารู้สึกไหมว่าทำไมชีวิตครอบครัวของเราถึงไม่ราบรื่น?

“มันเป็นทุกคนแหละค่ะ แต่อยู่ที่ว่าในช่วงเวลานั้นเราจะรักษาจิตใจของตัวเองได้มากแค่ไหน หรือถ้าหากเราอยู่ตรงนั้นแล้วเราทุกข์มาก เราก็คงต้องเลือกสักทางเหมือนกันเพื่อให้เราสามารถรักษาความสัมพันธ์ให้ดีกว่านี้ ถ้าสมมติตอนนั้นญ่าตัดสินใจหนักกว่านี้ วันนี้เราก็คงไม่สามารถกลับมาสานสัมพันธ์กันได้ ญ่ามองว่ามันเป็นเรื่องความสัมพันธ์ของคน เรื่องของอะไรหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นได้กับทุกครอบครัวค่ะ”

ลูกมีส่วนช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นด้วยไหม?

“ไม่เชิงว่าเพราะลูกค่ะ แต่มันเป็นลักษณะภาพรวมมากกว่า ถ้าหากญ่าไหวญ่าก็กลับได้ แต่จุดนั้นถ้าไม่ไหวญ่าก็ออกมาอีก คือมันเกิดขึ้นได้ตลอด ญ่ามองว่าการที่ญ่าถอยออกมาในตอนนั้นมันก็คือการประคับประคองนั่นแหละ ญ่าทำเพื่อไม่ให้มันเกิดการแตกหักที่ยิ่งใหญ่”

ไม่ใช่การฝืนใช่ไหม?

“ถ้าญ่าฝืน ญ่าก็ไม่ทำหรอกค่ะ ตอนนี้คือเป็นการให้อภัยกันมากกว่าค่ะ ให้อภัยเขาได้แล้ว ส่วนในอนาคตถ้ามันอาจเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก ทางนั้นเองเขาก็น่าจะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น เพราะญ่าก็เคลียร์กับเขาแล้วว่าถ้ามันมีอีก หรือถ้าญ่าไม่ไหว ญ่าก็อาจจะต้องเลือกทางอื่น”

เขาได้รับปากเราไหมในเรื่องที่เราพูด?

“เอ่อ…รับปากไหม เขาก็พยายามนะคะ พยายามมากๆ อยู่ และตัวเราเองก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น ถ้าทำดีก็ดี ถ้าไม่ดีก็ไม่อยู่”

เขาง้อเรายังไงบ้าง?

“ก็ปกตินั่นแหละค่ะ เราก็ให้โอกาสกัน เราไม่คิดถึงเรื่องเก่าแล้ว เราโฟกัสแค่ว่าเราจะทำยังไงให้ครอบครัวเรามีความสุข ให้ลูกอยู่ที่นั่นอย่างมีความสุข”

ตอนนี้ภรรยากับลูกมาอยู่เมืองไทย เขาได้ติดต่อมาบ้างไหม?

“เขาโทรหาทุกวันค่ะ และลูกก็ไม่ค่อยสนใจพ่อแล้ว ลูกจะเล่นอย่างเดียว (หัวเราะ) ส่วนว่ามีแพลนจะเดินทางกลับเมื่อไหร่ กลับวันที่ 3 มีนาคม ช่วงนี้ก็เลยตั้งหน้าตั้งตาทำงานเต็มที่ กลับมารับงานนะคะ (ยิ้ม) แต่พอกลับไปไม่ต้องกักตัวอีก ที่นู่นไม่ต้องกักค่ะ ที่นู่นชิลกันมาก ติดวันละ 20,000-30,000 คน”

แบบนี้เราต้องระวังตัวเองยังไง?

“เอ่อ…เอาจริงๆ ญ่าผ่านพ้นวิกฤตมาได้เพราะเราทำตามกฎค่ะ เราต้องรักษาตัวเอง และก็ระวังความเจ็บป่วยของคนอื่นด้วย เราต้องไม่แพร่เชื้ออะไรให้เขา หรือถ้าเราไปที่ชุมชนเราก็ต้องระวังตัวนิดหนึ่ง ใช้ชีวิตอย่างมีสติและเคารพสิทธิ์ของแต่ละคน”

ดรามาล่าสุด เล่นติ๊กต็อกจนไม่มีเวลาเลี้ยงลูก?

“ก็ตามนั้นแหละ คือเรื่องของลูกจริงๆ มันเกิดตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมิถุนายน แต่ญ่าเพิ่งจะมาโพสต์ว่ามันเกิดเหตุการณ์นู่นนั่นนี่ประมาณเดือนตุลาคม ซึ่งคนที่เขาเห็นข่าวเขาก็ไม่ได้ดูหรอกค่ะว่ามันเกิดอะไรขึ้นตอนไหน เขาดูแค่ว่าลูกโดนหมากัด จากนั้นเขาก็เลยสันนิษฐานกันต่อไปว่าแม่น่าจะเล่นแต่ติ๊กต็อกเลยไม่สนใจลูก”

“ซึ่งสำหรับตัวญ่าเองกว่าที่จิตใจญ่าจะผ่านช่วงนั้นมาได้มันก็ใช้เวลาหลายเดือน ที่เห็นว่าญ่าหายไปจากติ๊กต็อกไม่ใช่เพราะไม่อยากให้แฟนคลับได้ดู แต่มันเป็นเพราะญ่านอยด์จิตตกจนต้องพึ่งนักบำบัด”

ถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้าเลยไหม?

“เกือบค่ะ ถ้าหาไม่ทันก็คงซึม แต่รักษาไม่นานเพราะได้เข้าไปปรึกษากับนักบำบัดทันพอดี ตอนนี้ก็แฮปปี้แล้ว เข้าใจ มองว่าแบบช่างมันเถอะ เราเข้าใจแล้วว่าเราทำดีที่สุดแล้ว”