พลันที่ข่าวการร่วมเดินทางไปสังเวชนียสถาน ณ อินเดีย-เนปาลของ นางกนิษฐา พราหมณ์เสน่ห์ บังเกิดขึ้น

ก่อนอื่น, ทุกฝ่ายต้อง “ตั้งสติ”

อย่าเพิ่งปักใจเชื่อไปในเส้นทางสายใด สายหนึ่ง หากแต่ต้องติดตามด้วยความรอบคอบ รัดกุม

ความสำคัญมิได้อยู่ที่ “ผิด” หรือ “ถูก” เท่านั้น

หากแต่ที่ควรร่วมพิจารณาด้วยกันอย่างมีโยนิโสมนสิการก็คือ ข่าวแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

เป็นปฏิบัติการ “เอาคืน”แน่นอน

แต่คำถามก็คือ เป็นปฏิบัติการ “เอาคืน” อันสะท้อนความขัดแย้ง แตกแยกซึ่งดำรงอยู่ภายในแวดวงพระพุทธศาสนาหรือไม่

เหมือนกับจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็ไม่ธรรมดา

มองอย่างตรงไปตรงมา ในเมื่อ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ พุ่งเป้าไปยังผู้คนในแวดวงทุจริต คอรัปชั่นอย่างที่เรียกว่า “เงินทอน”การตอบโต้ก็ย่อมจะออกมาจากทางด้านนั้น

เมื่อ “พระ” มิอาจเคลื่อนไหวได้โดยตนเอง บรรดา “ลูกศิษย์”ก็จะต้องหาหนทาง

อาจมิใช่ “วิถีพุทธ” แต่ก็เกิดขึ้นได้

จะมองว่าเป็นเพราะความเป็นคน “เถรตรง”ของ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ก็ได้

ในเมื่อภรรยามีคุณูปการในทางพระพุทธศาสนา ย่อมเหมาะสมและสมควรที่จะปูนบำเหน็จให้โดยการร่วมเดินทางไปกับพุทธศาสนิกท่านอื่นที่มีคุณูปการ

เป็นการปูนบำเหน็จ ให้รางวัล อย่างมีเหตุผลและชอบธรรม มิได้สะท้อนฉันทาคติแต่อย่างใด

และหากเป็นเรื่องดี ถูกต้อง คนร้องเรียนก็แพ้ภัยไปเอง

กระนั้น ก็ต้องยอมรับว่าภายในกระบวนการปฏิบัติของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.)ก็ก่อให้เกิดปัญหา

ที่เห็นกันง่ายๆก็คือ

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) ในฐานะเลขาธิการมหาเถรสมาคม(มส.) มิได้นำเอาสถานะอันดำรงอยู่ของมหาเถรสมาคม(มส.) มาเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนอย่างเป็นจริง

ผลก็คือเกิดความร้าวฉาน เกิดความไม่ไว้วางใจกันเกิดขึ้นระหว่างมหาเถรสมาคมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

นี่ย่อมเป็น “ผลพลอยเสีย”มากกว่า “ผลพลอยได้”

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน