เมื่อผ่านจากสถานการณ์การเคลื่อนไหวเมื่อเช้าวันที่ 29 เมษายน กรณีทวงคืนผืนป่าดอยสุเทพก็ยากเป็นอย่างยิ่งที่จะถอยกลับ
ไม่ว่า “รัฐบาล” ไม่ว่า “ภาคีเครือข่าย”
แม้จะมีความพยายามอย่างเต็มเรี่ยวแรงจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มอบหมายให้ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ เดินทางไปพบกับภาคีเครือข่ายในวันที่ 6 พฤษภาคม
แต่ก็ยากเป็นอย่างยิ่งที่ “บทสรุป” อันเป็น “มติ” จะเกิดการแปรเปลี่ยน
เพราะประเด็นอยู่ที่ “ทวงคืนผืนป่า”
มีแต่ว่าในการหารือร่วมกันจะคืน”ผืนป่า”โดยทันที หรือว่าจะยืดเวลาออกไปและอย่างไรเท่านั้น
ยากเป็นอย่างยิ่งที่จะฝืนมติเมื่อวันที่ 29 เมษายน

มีความพยายามจากฝ่ายที่ยืนตรงกันข้ามกับ”ภาคีเครือข่าย”ที่จะทำให้กรณี”ป่าแหว่ง”เป็นเรื่องของสงคราม”สีเสื้อ”
เน้นว่า “ทักษิณ ยิ่งลักษณ์” ต้องรับผิดชอบ
แต่ความพยายามนี้เมื่อประสบเข้ากับท่าทีจาก”คสช.”และรัฐบาลก็ชวนให้งุนงง
ตามปรกติแล้วหากเป็นเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบโดยตรงของ “ทักษิณ ยิ่งลักษณ์” คสช.ไม่ลังเลที่จะเดินหน้าเข้าจัดการให้ราบเรียบโดยฉับพลันทันใด
คำถามก็คือ ทำไมทางด้าน”คสช.”และรัฐบาลจึงแสดงท่าทีออกมาปกป้องอย่างผิดปกติ
ยืนกระต่ายขาเดียวว่า “รื้อ”ไม่ได้จะ”ผิด”ต่อกฎหมาย
ตรงกันข้าม ท่าทีระยะหลังคือการยื้อและผ่อนปรนให้รักษาบ้านเอาไว้เพราะว่าใช้งบประมาณในการก่อสร้างมาแล้วเหมือนกับจะ “ซื้อ”เวลาออกไปเรื่อยๆ
ปมเงื่อนอยู่ที่ว่า “ภาคีเครือข่าย”จะยอมหรือไม่

กรณี”ป่าแหว่ง”สะท้อนความเห็นร่วมอย่างหนึ่งซึ่งยากจะปัดปฏิเสธได้
ไม่ว่าจะจาก”คสช.” ไม่ว่าจะจาก”ชาวบ้าน”
เมื่อมองเห็นภาพถ่ายทางอากาศเด่นชัด บทสรุปตรงกันอย่างยิ่งก็คือ ไม่เหมาะสม
มีความจำเป็นต้อง”คืนผืนป่า”โดยพลัน
ทุกอย่างต้องเป็นไปตาม “มติ” อันมาจากการเคลื่อนไหวเมื่อวันที่ 29 เมษายน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน