การออกมาเคลื่อนไหวของตัวประชาชนและภาคประชาสังคมในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อคัดค้านร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายสุขภาพแห่งชาติ หรือ “ซูเปอร์บอร์ดสุขภาพ” สะท้อนความเป็นจริงในหลายแง่มุมด้วยกัน
ประการแรก แสดงให้เห็นว่านโยบายประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือ “30 บาทรักษาทุกโรค” นั้นได้หยั่งฝังลึกลงไปในสังคมไทย
เมื่อมีความพยายามใดๆ ก็ตามที่จะแก้ไขหรือรื้อถอนสิทธิอันพึงมีพึงได้ อันเป็นบริการพื้นฐาน ที่รัฐต้องจัดให้แก่ประชาชน
ประชาชนก็ออกมาแสดงพลังสำแดงจุดยืนปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของตนเอง
และรัฐก็ต้องเงี่ยหูรับฟังด้วย
ประการต่อมา แสดงให้เห็นว่ากระบวนการยกร่างกฎหมายของรัฐบาล สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และส่วนราชการอื่นในปัจจุบันนั้นดำเนินการไปตามอำเภอใจหรือโดยจุดยืน-ความเชื่อของตนเองเป็นหลัก
มิได้เปิดกว้างรับฟังข้อมูลความเห็นของประชาชนหรือผู้ได้รับผลกระทบจากกฎหมายที่ออกมาบังคับใช้
มิใช่แต่เฉพาะร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายสุขภาพแห่งชาติที่ถูกเคลื่อนไหวต่อต้านอยู่นี้ แต่ยังรวมไปถึงตั้งแต่รัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นๆ ที่มุ่งแต่จะเพิ่มอำนาจให้แก่ภาครัฐและราชการเป็นหลัก
ละเลยการมีส่วนร่วมและการรับฟังประชาชนอันผู้มีส่วนได้เสีย
และผู้รับผลจากกฎหมายต่างๆ ที่ บังคับใช้
ประการสุดท้าย การเคลื่อนไหวเพื่อคัดค้านร่างพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายสุขภาพแห่งชาตินี้ดำเนินไปโดยภาคประชาชนและภาคประชาสังคมเป็นหลัก
โดยมิได้มีตัวแทนของฝ่ายการเมืองออกมาแสดงจุดยืนหรือท่าทีให้ชัดเจน ทั้งที่พรรคการเมือง บางพรรคเป็นผู้รับผลประโยชน์จากนโยบายประกันสุขภาพโดยตรง
จะอ้างว่าถูกอำนาจทหารหรืออำนาจอื่นๆ กดดันมิให้เคลื่อนไหว ก็ไม่สามารถกล่าวอ้างได้ เมื่อพิจารณาจากการเคลื่อนไหวอื่นๆ ซึ่งเป็น “การเมือง” ยิ่งกว่า
ในกรณีที่ผลประโยชน์ของประชาชนจะถูกรื้อถอนหรือลดทอนลง ถ้าพรรค-นักการเมืองไม่แสดงจุดยืนให้ชัดเจน
ก็ไม่สมควรอ้างตัวว่าเป็น “ผู้แทนของปวงชน” อีกต่อไป