การตรึงกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อรับมือกิจกรรมทางการเมืองของคนกลุ่มต่างๆ ในวันที่ 22 พฤษภาคม ครบรอบ 4 ปีเหตุการณ์รัฐประหาร เป็นภารกิจสำคัญในช่วงเวลานี้

เพราะต้องคอยติดตามว่าการชุมนุมที่เป็นการแสดงออกตามรัฐธรรมนูญนั้นอยู่ในขอบเขตที่ไม่ละเมิดกฎหมายหรือไม่

หากเจ้าหน้าที่ไม่ทำอะไรก็จะถูกจัดการเช่นกัน ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

ดังนั้น 4 ปีมานี้ เจ้าหน้าที่ต้องสาละวนอยู่กับการจับตาและควบคุมตัวดำเนินคดีกลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตยเป็นระยะ ตามนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ใช้กฎหมายเป็นกลไก

แม้ว่ามาตรการควบคุมจะดูผ่อนคลายลง แต่ในทางปฏิบัติก็ไม่ได้เกิดการปลดล็อกทางการเมืองใดๆ

การเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้เรียกร้องประชา ธิปไตยในช่วง 4 ปีมานี้เป็นไปอย่างยากลำบากและต้องเสียสละการใช้ชีวิตปกติสุขไม่น้อย เนื่องจากต้องถูกดำเนินคดีอย่างต่อเนื่อง ตามกรอบของกฎหมายในยุคคสช.

เป็นการบังคับใช้กฎหมายสำหรับสถานการณ์ที่บ้านเมืองไม่ปกติ

อีกทั้งยังคงมีการอ้างเสถียรภาพความมั่นคง และใช้เศรษฐกิจเป็นตัวประกัน ว่าหากเกิดการชุมนุมแสดงออกทางการเมืองแล้วอาจมีผล กระทบต่อการลงทุนและการท่องเที่ยว

บางกรณีมีการใช้ถ้อยคำที่ให้ร้ายผู้เคลื่อนไหวทางการเมืองที่เรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง ว่าพยายามปั่นป่วนเพราะมีเบื้องหลัง

การดำรงอยู่ของช่วงเวลารัฐประหารที่อยู่มาจนครบวาระ 4 ปีนี้ จึงไม่เพียงเป็นวาระแห่งการทบทวนผลงานของคสช.เท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้มีส่วนร่วมผลักดันให้เกิดวงจรการยึดอำนาจและมองข้ามสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอื่นๆ ร่วมกันในสังคม

น่าคิดใคร่ครวญดูว่า ความมุ่งหมายให้มีคณะปกครองที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งนั้นเป็นเรื่องสมควรหรือไม่

การละเมิดและไม่ให้เกียรติประชาชนที่ต้องการการเลือกตั้ง เป็นเรื่องที่ยุติธรรมหรือไม่

การยกตนว่ามีความดี เก่ง และฉลาดพอที่จะเลือกคณะปกครองโดยไม่สนใจกติกาทางประชาธิปไตยนั้นลดลงแล้วหรือไม่

ถ้าไม่ ปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อ 4 ปีก่อนคงยังอยู่ที่เดิม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน