รายงานพิเศษ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เดินสายตรวจงานตามกระทรวงต่างๆ แบบสายฟ้าแลบ ตั้งแต่กระทรวงคมนาคม มหาดไทย คลัง เกษตรและสหกรณ์ ท่องเที่ยวและกีฬา ชนิดที่รัฐมนตรีและข้าราชการไม่ทันตั้งตัว ส่วนกระทรวงที่เหลือจะทยอยไปโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้าเช่นกัน

นักการเมืองและนักวิชาการมองว่ายุทธศาสตร์นี้สะท้อนอะไรบ้าง

%e0%b8%ab%e0%b8%b1%e0%b8%81%e0%b8%97%e0%b8%ad%e0%b8%87-30%e0%b8%9e%e0%b8%a259

สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล

ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา

คิดว่านายกฯ มองเห็นว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเนื้องานของรัฐบาลไม่ออกมามากเท่าที่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวง ด้านเศรษฐกิจ เช่น กระทรวงการคลัง พาณิชย์ เกษตรและสหกรณ์ การท่องเที่ยวและกีฬา จึงต้องออกไปเร่งรัดและกวดขัน

นายกฯ คงชอบ กินผักคะน้าหรือผักอื่นๆ มากกว่าผักชี จึงเดินทางไปโดยไม่บอกล่วงหน้า เพราะธรรมดาแล้วเมื่อเห็นงานไม่เข้าเป้าอาจเรียกมาพูดคุยพร้อมๆ กันที่ทำเนียบรัฐบาลก็ได้ แต่คิดว่าถ้าเป็นแบบนั้นคงไม่ดี สู้ลงไปดูด้วยตัวเองให้เห็นสภาพเลยดีกว่าว่าเป็นอย่างไร

นายกฯ เป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบเต็มๆ และในฐานะที่เป็นหัวหน้า คสช. ถ้าหลังจากรัฐประหารแล้วไม่สามารถนำพาประเทศไปสู่เป้าประสงค์ตามที่บอกไว้กับประชาคมหรือประชาชนทั่วไปอาจมองได้ว่านั่นคือความรู้สึกที่ปฏิวัติแล้วเสียของ จึงต้องทำให้ต้องรีบออกมาเร่งรัด

ส่วนคนอื่นๆ ความรับผิดชอบคงไม่มีใครเหมือนนายกฯ หรือหัวหน้า คสช.ก็อาจทำงานไปตามวัฒนธรรมเดิม คือทำไปแบบวันต่อวัน ไม่ได้เร่งรัดงานในอนาคตที่นายกฯ บอกเอาไว้ว่าจะทำอะไรอย่างไร มัวแต่ไปมุ่งเน้นแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นใน วันหนึ่งๆ จึงทำให้งานต่างๆ ไม่เวิร์กเท่าที่ควร

นายกฯ มีความตั้งใจดี มีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่คิดว่าเมื่อปฏิวัติแล้วอยากจะทำให้ได้ดังใจคือพลิกโฉมหน้าประเทศใหม่ โดยการปฏิรูปในทุกด้าน แต่วันนี้ยังไม่เป็นไปตามเป้าที่ต้องการเห็น

2 ปีกว่าที่ผ่านมาประชาชนอาจรู้สึกว่ายังไม่ได้เริ่มต้นอะไรเลย จุดนี้คือความจริงที่นายกฯ อาจจะต้องยอมรับ

ส่วนฟันเฟืองของรัฐบาลที่ยังต้องได้รับการปรับแก้อีกคือ ระบบราชการ เมื่อรัฐบาลชุดใหม่นี้เข้ามาแล้วต้องพยายาม ปรับแก้และผลักดัน กลไกหลักคือข้าราชการประจำที่จะทำให้งานเดินหน้าไปได้เร็วหรือช้า

แต่วันนี้ขวัญและกำลังใจของข้าราชการก็อย่างที่เห็นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการใช้มาตรา 44 ในการแต่งตั้งโยกย้าย เพียงอย่างเดียวนั้นคนอาจจะมองดูว่ามีความเด็ดขาด เฉียบขาด ในอีกมุมหนึ่งกลับทำให้เขาเกร็งไม่กล้าที่จะตัดสินใจทำอะไร เพราะถ้าเกิดความผิดพลาดก็กลัวโดนในลักษณะเช่นนั้น จึงเกิดเกียร์ว่าง ไม่กล้าคิดไม่กล้าเสนอ รอรับคำสั่งอย่างเดียว

การบริหารราชการแผ่นดินต้องยอมรับในกติกาสากล ในเมื่อวันนี้บอกว่าบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยก็ต้องเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้แสดงความคิดเห็น อย่าไปคิดว่าทุกคนมาประชุมเพื่อรับฟังคำสั่ง

ชัยเกษม นิติสิริ

อดีต รมว.ยุติธรรม พรรคเพื่อไทย

โดยปกติ พล.อ. ประยุทธ์มักทำอะไรที่เกินความคาดหมาย อยู่แล้ว คาดการณ์ไม่ ค่อยได้ ดังนั้น การจะ ไปตรวจงานตามกระทรวงต่างๆ โดยไม่แจ้งล่วงหน้าก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่เชื่อว่าต่อให้ท่านไม่บอกก็ต้องมีคนไปบอกแต่ละกระทรวงให้เตรียมพร้อม รอต้อนรับนายกฯ อยู่แล้ว

ในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่เฝ้าติดตามและจับตาดูการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ เห็นว่าการทำงานยังไม่เข้าเป้า เท่าที่ควร ดังนั้น การเดินสายตรวจงานของนายกฯ คงไม่เกิดผลอะไร เพราะต่อให้นายกฯ ไปคงไม่ได้ลงรายละเอียดของการทำงานมากเท่าไร ท่านควรเอาเวลามาคิดนโยบายใหม่ๆ เพื่อประชาชนดีกว่าเอาเวลาไปเดินสายตรวจงาน

ต้องยอมรับว่าสภาพเศรษฐกิจขณะนี้ทำให้คนไทยยิ้มแทบไม่ออก ลองเดินไปตามถนนจะพบว่าประชาชนรู้สึกอย่างไร สภาพการณ์มันไม่ปกติ โดยเฉพาะคนที่อยู่ต่างจังหวัด เราจะสัมผัสได้ทันทีว่าคนกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอยู่ในขณะนี้

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังออกมายอมรับเลย ว่าตัวเลขต่างๆ ทางเศรษฐกิจที่ออกมาไม่เข้าเป้า การส่งออกก็ลดลง จะว่ารัฐบาลไม่มีฝีมือคงไม่ถึงขนาดนั้น แต่ตราบใดที่ประเทศไทยยังคงอยู่ในภาวะที่ไม่เป็นประชาธิปไตย คงไม่เอื้ออำนวยต่อการค้าขายไปจนถึงการส่งออกกับต่างชาติ ต้องรอดูว่าหลังการเลือกตั้งตามโรดแม็ปในปี 2560 จะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นหรือไม่

นอกจากเรื่องเศรษฐกิจแล้ว สิ่งสำคัญคือเรื่องความปรองดองและความสามัคคี ที่รัฐบาลปฏิวัติเข้ามา โดยอ้างว่าเพื่อเข้ามาสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นกับคนในชาติ แต่จนถึงวันนี้ความปรองดองยังไม่เกิดขึ้น

การบังคับใช้กฎหมายที่นายกฯ มักจะอ้างว่าทุกอย่าง ต้องเป็นไปตามกฎหมาย แต่ความรู้สึกของผู้เกี่ยวข้องยังเห็นว่าการบังคับใช้กฎหมายไม่เป็นมาตรฐาน กระบวนการยุติธรรมก็มีคนใน คสช.เข้าไปเกี่ยวข้องหมด ทำให้กระบวนการบิดเบี้ยว หากปล่อยทิ้งไว้นานๆ จะลำบากเพราะแก้ไขยาก

ส่วนตัวคงไม่เสนอแนะหรือเรียกร้องอะไร เพราะรัฐบาลไม่ได้มีท่าทีรับฟังหรือไปในทิศทางเดียวกับผู้อื่น ทำได้แค่ขอให้พระคุ้มครอง คนทำกรรมดีขอให้ได้ดีจริงๆ คนทำกรรมชั่วก็ขอให้ได้ตามนั้น

องอาจ คล้ามไพบูลย์

รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

การเดินสายตรวจงานแบบไม่ให้กระทรวงต่างๆ ได้ตั้งตัวนั้น คิดว่าเป็นวิธีการทำงานของนายกฯแต่ละคนในการที่จะติดตามตรวจสอบการทำงานของผู้ใต้บังคับบัญชา การที่พล.อ.ประยุทธ์ชอบวิธีการแบบสายฟ้าแลบก็ไม่มีอะไรเสียหาย ถือว่าเป็น วิธีการติดตามการตรวจสอบการทำงานอีกรูปแบบหนึ่ง

การตรวจสอบการทำงานเป็นปัญหาในระบบราชการบ้านเรามาตลอด เวลาสั่งงานไปแล้วถ้ามีวิธีการตรวจสอบว่างานที่สั่งได้ทำไปได้แค่ไหนแล้ว มีปัญหาหรืออุปสรรคอย่างไร จะช่วยให้งานประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น เพราะถ้าไม่มีการติดตามงานเลยฝ่ายปฏิบัติจะละเลยเพิกเฉย ไม่พยายามทำงานให้เกิดประสิทธิภาพเท่าที่ควร

ดังนั้น รูปแบบการทำงานของนายกฯ มีข้อดีคือทำให้ไม่มีผักชีโรยหน้า ถ้าไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้าจะสามารถตรวจสอบดูได้ว่ารัฐมนตรีที่รับคำสั่งงานไปทำงานเป็นอย่างไร รวมทั้งข้าราชการที่รับผิดชอบรู้เรื่องงานที่ตัวเองรับผิดชอบจริงมากน้อยแค่ไหน เพราะหากแจ้งล่วงหน้าอาจจะไม่ได้ข้อมูลที่เป็นจริง

ส่วนการทำงานของบางกระทรวงจะเฉื่อยชาหรือไม่ก็ ต้องมีการกระตุ้นอยู่แล้ว แต่เมื่อนายกฯ มีแนวทางอย่างนี้ก็เป็นอีกทางที่จะช่วยเหลือในการทำงาน และคงไม่ใช่ว่านายกฯ จะเป็นพระเอกคนเดียว เพราะความสำเร็จของงานจะเกิด ขึ้นได้คงไม่ใช่นายกฯ คนเดียว ต้องมีคนอื่นที่ช่วยกันทำงานด้วยทั้งรัฐมนตรี และข้าราชการทุกระดับ

เป็นเพราะรัฐมนตรีและข้าราชการ เกียร์ว่างจนนายกฯ ต้องไปกระตุ้นหรือไม่นั้น เท่าที่ดูยังไม่เห็นว่ากระทรวงไหนมีลักษณะเรื่องเกียร์ว่างอะไร

การที่นายกฯ ลง ไปตรวจงานแบบไม่ให้ตั้งตัวถือเป็นสไตล์ของท่าน เชื่อว่าน่าจะทำให้รัฐมนตรีและข้าราชการตื่นตัวมากขึ้น ซึ่งในอดีตก็มีลักษณะอย่างนี้ ที่นายกฯ ไปตรวจงานในแต่ละกระทรวงโดยไม่บอกให้รู้ ล่วงหน้า

สำหรับข้อเสนอแนะในการทำงานต่อไปของรัฐบาลนั้น คงไม่มี เพราะนายกฯ มีทีมงาน มีผู้รอบรู้ ผู้เชี่ยวชาญ มีความสามารถอยู่ในรัฐบาลชุดนี้ที่จะเสนอนายกฯ อยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม เห็นว่ากระทรวงที่ควรต้องปรับปรุงการทำงาน คือกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับปากท้องของประชาชน เกี่ยวข้องกับสินค้าการเกษตร ต้องแก้ปัญหาต่างๆ ให้คลี่คลายมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

เจริญ คัมภีรภาพ

อดีตรองอธิการบดีม.ศิลปากร และนักกฎหมาย

มองว่าเป็นการกระชับการทำงานของหน่วยงานราชการต่างๆ ก่อนที่ คสช.จะหมดอำนาจและเข้าสู่ การเลือกตั้ง หรืออาจ จะเป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยได้เข้าไปพูดคุยรับทราบถึงปัญหาต่างๆ ในหน่วยงานนั้นๆ

เท่าที่รู้ขณะนี้หน่วยงานราชการต้องมีการขันนอตกันบ้าง เพื่อให้ได้เร่งทำงาน เท่าที่ทราบมาว่าส่วนราชการต่างๆ ไม่กล้าใช้งบประมาณ และงบประมาณที่ได้รับมาแต่ละหน่วยงานก็ใช้ไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ไม่ทราบว่าจะด้วยเหตุผลที่เกรงว่าอาจจะถูกตรวจสอบหรือไม่

พองบประมาณไม่ได้ใช้ตามเป้าหมายแล้วตัวเงินที่อัดฉีดเข้าไปสู่ในระบบการบริหารในงานราชการ กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ มันไม่ออก พองบประมาณไม่ออกก็จะไม่ไปกระตุ้นเศรษฐกิจ

หน่วยงานราชการมีนายกฯ เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด การที่นายกฯ ออกตรวจเยี่ยมหน่วยงานราชการนี้ถือว่ามีความสนใจ ว่าส่วนราชการที่ต้องปฏิบัติภารกิจ ก็เข้าไปรับฟังปัญหา ที่อาจจะมีข้อวิตกกังวลในเรื่องการใช้งบประมาณการบริหารการจัดการ เป็นต้น

ประเทศเราขณะนี้เศรษฐกิจในประเทศยังไม่ฟื้น เพราะฉะนั้นต้องเร่งอัดฉีดเม็ดเงิน และเป็นการกระชับการทำงานตามแผนของ คสช.ที่วางไว้

ส่วน “ไทยแลนด์ 4.0” ที่เป็นวิสัยทัศน์เชิงนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย หรือโมเดลพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาล ภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ที่ประกาศไปนั้น ทางนายกฯ อาจจะเดินทางไปยังกระทรวงต่างๆ เพื่อรับฟังปัญหา หรือข้อเสนอแนะจากหน่วยงาน ขณะเดียวกันนายกฯ อาจเข้าไปชี้แนะ ในการเดินตามโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจไปพร้อมกัน ทุกกระทรวง ทบวง กรม

สำหรับการบริหารงานในรัฐบาลตอนนี้ นายกฯ ไม่ใช่พระเอกขี่ม้าขาว แต่มองว่าเป็นการแสดงตัวเป็นลีดเดอร์ชิพ (Leadership) หรือเป็นผู้นำ ไม่ใช่มีการแบ่งงานที่รับผิดชอบให้กระทรวง ทบวง กรมแล้วจะเชื่อว่ากระทรวง ทบวง กรมนั้นทำตามทั้งหมด

ฉะนั้นความเป็นผู้นำจึงจำเป็นต้องเข้าไปกำกับบังเหียนให้ได้ตามที่ตนเองอยากให้เป็น ถ้านายกฯไม่แสดงความเป็นผู้นำแล้วจะมาเป็นนายกฯ ทำไม

คิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นรุนแรงในตอนนี้คือปัญหาด้านเศรษฐกิจ ที่ไม่ใช่จะแก้เพียงสมการเดียว เป็นเรื่องการเรียกความเชื่อมั่นให้กลับคืนสู่ประเทศไทยที่เป็นเรื่องใหญ่ และเรื่องความสามัคคีปรองดองของคนในชาติ ที่ไม่สามารถจบได้ภายในข้ามคืน

รัฐบาลไม่ควรสร้างเงื่อนไขต่างๆ เพราะอาจจะเปลี่ยนผ่านไปสู่การเลือกตั้ง แล้ววกกลับมาเข้าสู่ปัญหาเดิม ปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งนั้นน่าที่จะเจ็บกันทั้งประเทศอยู่แล้ว ขออย่าให้ปัญหาเหล่านี้กลับมาอีก

ส่วนข้อเสนอการทำงานของนายกฯ คือการใช้ความเป็นลีดเดอร์ชิพ การบริหารยุทธศาสตร์ชาติให้บรรลุผล โดยเฉพาะนโยบายและยุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง

แต่ถ้าเป็นนโยบายที่คลุมเครือ อาทิ ระบบส่งเสริมการเกษตรแปลงใหญ่ ที่เป็นนโยบายของ รมว.เกษตรและสหกรณ์ มองว่าถ้ารีบปฏิบัติอาจจะเกิดความร้าวฉานขึ้น เป็นต้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน