ครม.สัญจรภาคเหนือตอนล่างโดยมีพิจิตรเป็นใจกลาง แตกต่างไปจากครม.สัญจรภาคอีสานตอนใต้ โดยมีบุรีรัมย์เป็นใจกลางอย่างเด่นชัด
อาจเพราะพื้นที่ทางการเมืองของพิจิตรไม่เหมือนกับพื้นที่ทางการเมืองของบุรีรัมย์
บุรีรัมย์อาจจะมีพรรคเพื่อไทยสอดแซม
แต่ด้านหลักเป็นของ นายเนวิน ชิดชอบ ซึ่งเป็นผู้นำบารมีแห่งพรรคภูมิใจไทย
ตรงกันข้าม พิจิตรอยู่ในความยึดครองที่ก้ำกึ่งกัน
นั่นก็คือ ส่วนหนึ่งเป็นของพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่ส่วนหนึ่งเป็นของพรรคเพื่อไทย
การต้อนรับจึงเป็นเรื่องของ “ทางราชการ”
ขณะเดียวกัน ภายในคสช.และภายในรัฐบาลก็มีการตรวจสอบประเมินผลการขับเคลื่อนครม.สัญจร
บทเรียนจาก “บุรีรัมย์” นับว่าแหลมคม
ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปยืนโบกไม้โบกมือพร้อมกับรัฐมนตรีอันเป็นพระอันดับ ที่สุดแล้วมิใช่ผลงานและความสำเร็จของคสช.และของรัฐบาล
หากแต่เป็นผลงานและความสำเร็จของ นายเนวิน ชิดชอบ เจ้าของสนามช้าง อารีนา
และพรรคภูมิใจไทยต่างหากที่รับไปเต็ม-เต็ม
สถานะของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เหมือนกับสถานะของ นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ในการเปิดตัวพรรครวมพลังประชาชาติไทย
ที่บุรีรัมย์ นายเนวิน ชิดชอบ ยิ้มชื่นเบิกบาน ที่ศาลาดนตรีสุริยเทพ มหาวิทยาลัยรังสิต นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยิ้มหลังม่านน้ำตา
จึงสรุปบทเรียน “พิจิตร” มิให้ซ้ำรอย “บุรีรัมย์”
ตัวอย่างจากครม.สัญจรที่บุรีรัมย์ เมื่อนำมาวางเรียงเคียงกับตัวอย่างการเปิดตัวพรรครวมพลังประชาชาติไทย
นำไปสู่บทสรุปอันเป็นบทเรียนทาง “การเมือง”
การเมืองนั้นย่อมขึ้นอยู่กับว่าใครยึดครอง “อำนาจนำ” ใครแย่งชิง “พื้นที่”ได้อย่างเป็นจริง
ที่สุดแล้วก็คือ ใครเป็นคนกำหนดเกม กำหนดวาระ