หากมองสถานการณ์ของคดี”วัดพระธรรมกาย”ผ่านกระบวนท่าใน เชิง “กลยุทธ์”

“ดีเอสไอ”อยู่ในฝ่าย”รุก” อย่างเด่นชัด
เพราะว่า “ดีเอสไอ” อยู่ในสถานะอันเป็นผู้กุมกลไก “อำนาจรัฐ”
มี “กฎหมาย” อยู่ใน “มือ”
เมื่อประสานเข้ากับ “ตำรวจ” เมื่อประสานเข้ากับ “อัยการ” ยิ่งเพิ่มความแข็งแกร่ง
โอกาสจึงเป็นของ “ดีเอสไอ”
ขณะเดียวกัน ไม่ว่าจะมองผ่านสถานการณ์สหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น ไม่ว่าจะมองผ่านสำนักปฏิบัติธรรมที่เลย หรือที่นครราชสีมา
“ธรรมกาย” อยู่ในฝ่าย “รับ” อย่างเด่นชัด
นั่นก็คือ “ดีเอสไอ”และ”ตำรวจ”ดำรงสถานะแห่ง”โจทก์” นั่น ก็คือ “ธรรมกาย” ดำรงสถานะแห่ง “จำเลย”
ท่วงท่าและลีลาจึงไม่เหมือนกัน

ท่วงท่าและลีลาอันสำแดงผ่าน “ดีเอสไอ” ผ่าน”ตำรวจ”จึงดำเนินไปในลักษณะของฝ่าย “กระทำ”
ไม่ว่าเมื่อเดือนมิถุนายนก็เป็นเช่นนี้
ยิ่งในเดือนพฤศจิกายนต่อเนื่องไปยังธันวาคม ยิ่งมีความเด่นชัดในการเป็นฝ่ายกระทำ เป็นฝ่ายรุก
เริ่มจากการเรียกตัว”ธรรมกาย” ออกมา “พบ”
จังหวะก้าวแรก คือ การนัดพบที่ สภ.คลองหลวง เพื่อแจ้งข้อเรียกร้องต่อ “ธรรมกาย”
กำหนด”เส้นตาย”ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน
หากพ้นจาก “เส้นตาย” นั่นหมายความว่า จะกำหนดมาตร การเข้มลำดับต่อไป
นั่นก็คือ การบุกและจับกุมตัว

เบื้องหน้าสถานการณ์รุกและเป็นฝ่ายกระทำอย่างต่อเนื่องจากไม่ว่า “ดีเอสไอ” ไม่ว่า”ตำรวจ”
ฝ่ายของ”ธรรมกาย”ดำเนิน”กระบวนท่า”อย่างไร
1 ยืนยันในอาการ”อาพาธ”ของ พระเทพญาณมหามุนี ไม่แปรเปลี่ยน
ศิษย์บางคนระบุ 6 เดือนแล้วไม่เคยได้”พบ”
1 อาศัยสภาวะแห่งอาการ “อาพาธ” ไม่สามารถออกไปมอบตัวได้มาเป็น “ข้ออ้าง” มาเป็น “เครื่องมือ”
นั่นหมายถึง ต้องเข้าไปใน “ธรรมกาย”
ขณะเดียวกัน 1 มีการจัดกิจกรรมทางศาสนาอย่างต่อเนื่องโดยปรากฏ “ศิษยานุศิษย์” ทะยอยเข้าวัดอย่างไม่ขาดสาย
จำนวน “หมื่น” และจำนวน “แสน”
เหมือนกับว่าทางด้าน “ธรรมกาย” ไม่ต่อสู้ ไม่แข็งขืน พร้อมให้ “ดีเอสไอ”และ”ตำรวจ”เข้าจับกุม เหมือนกับ “รับ” อย่างสงบ
แต่ภายใน “ความสงบ” นั่นแหละกลับมี “การเคลื่อนไหว”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน