ระบบไพรมารีโหวตกำลังจะเป็น “หินลองทอง” อันทรงความหมาย ยิ่งในทางการเมือง
ไม่เพียงแต่ต่อ “รัฐธรรมนูญ”
หากยังสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับกฎหมาย”ลูก”ไม่ว่าจะเป็นพรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ไม่ว่าจะเป็นพรป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.
ความหมายก็คือ “ปฏิบัติ” ได้จริงหรือไม่
ความหมายที่ทรงความหมายยิ่งกว่านั้นก็คือ “ปฏิบัติ”ได้อย่างฉับพลันทันใดอย่างที่มีอยู่ในบทบัญญัติหรือไม่
คำถามนี้มิได้ท้าทายต่อ “ปาฎิหาริย์” แห่ง”กฎหมาย”
ตรงกันข้าม ท้าทายระหว่าง “เจตนา” กับ “ผล”ว่าดำเนินไปอย่างเป็นเอกภาพมากน้อยเพียงใด
ถามว่าเจตนารมณ์ของ”ไพรมารีโหวต”คืออะไร ตอบได้เลยว่าต้อง การพัฒนาพรรคการเมือง
ต้องการให้ยึดโยงอยู่กับประชาชนในพื้นที่
นั่นก็คือ ประชาชนซึ่งเป็นสมาชิกพรรคมีสิทธิมีส่วนในการกำหนดตัวผู้สมัคร มิใช่ว่าจะเป็นคำสั่งอันมาจาก “เจ้าของพรรค” อย่างที่เคยเป็น
นั่นก็คือ เกณฑ์ชี้ขาดว่าเป็นอำนาจของสมาชิกพรรคอย่าง น้อย 100 คนเป็นผู้กำหนด
เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหากับพรรคการเมืองเก่า พรรคการเมืองใหญ่ ปัญหากลับอยู่กับพรรคการเมืองใหม่ พรรคการเมืองขนาดเล็ก
เพราะต้องมีฐานสมาชิกพรรคในขอบเขตทั่วประเทศอย่างน้อยจังหวัดละ 100 คน
คำถามก็คือ จะหาสมาชิกมาได้อย่างไรในเวลาอันสั้น
คำเตือนจากพรรคประชาธิปัตย์ คำเตือนจากพรรคเพื่อไทย จึงสะท้อนความเป็นจริงของสังคมประเทศไทย
2 พรรคนี้สามารถทำได้เพียงแต่มีการคลายล็อก
แต่พรรคอันแวดล้อมอยู่โดยรอบศูนย์กลางแห่งอำนาจอย่างที่เรียกว่า “พรรคคสช.”จะสามารถทำได้หรือไม่ หากเวลาแห่งการคลายล็อคทอดยาวออกไป
“ปาฎิหาริย์” แห่ง”กฎหมาย”จึงเริ่มส่งสัญญาณ
เหมือนที่เคยทำมาก่อนคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 53/2560