กรณีของ “แรมโบ้ อีสาน” นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ สะท้อนลักษณะพิ เศษของ “พลังดูด” อย่างเด่นชัด

นั่นก็คือ มิได้ต้องการ “ชัยชนะ”

เป้าหมายเดียวก็คือ แยกสลายกำลังทั้งในด้านของ”พรรคเพื่อไทย” และทะลวงเข้าไปยังแกนนำของ”นปช.”

และที่เหนือกว่านั้นก็คือ “หักหน้า”

เหมือนกับจะต้องการหักหน้าพรรคเพื่อไทย เหมือนกับจะต้องการหักหน้านปช.

แต่ในที่สุด “แรมโบ้” นั่นแหละอาจจะ”เจ็บ”ที่สุด

จึงชวนให้วิเคราะห์อย่างจำแนกแยกแยะว่า มีความจำเป็นอะไรที่ “แรมโบ้”ต้อง”เปลืองตัว”ระดับนี้

 

หากมองผ่าน “แกนนำ”นปช.ไม่ว่าจะเทียบกับ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ไม่ว่าจะเทียบกับ นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ร้อนแรงอย่างยิ่ง

ฉายา “แรมโบ้ อีสาน” อัน นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ได้มามิใช่ เพราะโชคช่วย หรือเป็นเหตุบังเอิญ

หากได้มาจากการออกมาชนกับ “พรรคประชาธิปัตย์”

ยิ่งกว่านั้น ในสถานการณ์จากเดือนเมษายน 2552 กับ สถานการณ์เดือนเมษายน พฤษภาคม 2553 บทบาทของ นายสุ ภรณ์ อัตถาวงศ์ ร้อนแรงอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะเมื่อบุกเข้าประชิดรถซึ่งเข้าใจว่ามี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั่งอยู่ในรถ

เพื่อนมิตรที่ร่วมต่อสู้ย่อมจดจำได้อย่างตรึงตรา

แล้วเหตุปัจจัยอะไรทำให้ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ต้องกลับหลังหันอย่างชนิด 160 องศาอย่างที่นายก่อแก้ว พิกุลทอง สรุป

ตรงนี้น่าศึกษา น่าทำความเข้าใจ

 

มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีการหยิบยื่นสถานะและตำแหน่งในทางการเมืองให้

อย่างน้อยก็เป็นแกนนำใน”พลังโคราช”

มีความเป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีการหยิบยกเอาการผ่อนปรนในเรื่อง”คดีความ”มาเป็นเครื่องต่อรอง เพราะ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ก็ต้องคดีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าแกนนำนปช.คนอื่น

เหล่านี้ล้วนน่าจะเป็น”กรณีศึกษา”ต่อ “แรมโบ้ อีสาน” นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ทั้งสิ้น

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน