การส่งเทียบเชิญให้ นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข การส่งเทียบเชิญให้ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ การส่งเทียบเชิญให้ นายสิระ เจนจาคะ

อาจไม่ยาก

เพราะอย่างน้อยความขัดแย้งเรื่องการจัดส่งคนลงในเลยก็อาจมีปัญหาและสร้างความหงุดหงิด

เพราะอย่างน้อยระยะห่างกับแกนนำนปช.ก็ถ่างมากอยู่แล้ว

เพราะอย่างน้อยก็เคยเป็นกำลังของ “หลวงปู” และได้รับบำเหน็จผ่าน”สปช.”

แต่เมื่อทอดมองไปยัง นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ

แต่เมื่อทอดมองไปยัง นายอดิศร เพียงเกษ และ นายจตุพร พรหมพันธุ์

ก็ยากยิ่งที่จะได้เสพ”เนื้อห่านฟ้า”อย่างง่ายดาย

ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง นายอดิศร เพียงเกษ หรือ นายจตุพร พรหมพันธุ์

ขอพาดพิงถึงเพียง นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ก็แล้วกัน

มองในแง่พรรษาทางการเมืองอาจอ่อนกว่า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แต่ก็อาวุโสมากกว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ

ทั้งนี้ แทบไม่ต้องเอ่ยถึง นายภิรมย์ พลวิเศษ

ในยุคที่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นเลขาธิการพรรคไทยรักไทย คงรับรู้ว่า “พลังดูด”ที่เริ่มแผ่ภายหลังการเลือกตั้งเมื่อเดือนมกราคม 2544 นั้นดำเนินไปอย่างไร

ระลอกแรกเป็น”พรรคเสรีธรรม” ตามมาด้วย”พรรคความหวัง ใหม่”

ระลอกท้ายสุด คือ “พรรคชาติพัฒนา”

ต้องรอจนมั่นใจว่าคะแนนความนิยมของ”พรรคไทยรักไทย”สูงเด่นเป็นอย่างยิ่งในปี 2547 นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ จึงตัดสินใจ

ลีลาของ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นั้นอยู่ระดับ”มังกร”ทะยาน

การใช้“พลังดูด”ต่อ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ นั้นยากอย่างยิ่งแล้ว การใช้ “พลังดูด” ต่อ นายอดิศร เพียงเกษ และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นั้นยิ่งยากกว่าหลายเท่า

นายอดิศร เพียงเกษ นั้นบินอยู่ระดับเดียวกับ นายจาตุรนต์ ฉายแสง

นายจตุพร พรหมพันธุ์ นั้นตามมาติดๆ

ถือได้ว่าเป็น”เนื้อแท้”จากไทยรักไทยมาถึง”เพื่อไทย”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน