ความไม่สบอารมณ์ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ต่อการรับชมผลงานของนักกีฬาไทยที่เข้าร่วมการแข่งขันมหกรรมกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ไม่ว่าจะ
“เมื่อตอนค่ำวันก่อน (21 ส.ค.) ดูการแข่งขันบาสเกตบอลไทยกับอินโดนีเซีย ไทยแพ้เลยอารมณ์เสีย…”
หรือ
“สงสัยต่อไปจะต้องเลิกดูกีฬา เพราะดูอะไรก็แพ้ ที่ไม่ดูกลับชนะ แต่ไม่ได้โทษนักกีฬา ให้กำลังใจเหมือนเดิม…”
เพราะเป็นปฏิกิริยาที่ไม่ได้แตกต่างอะไรกับประชาชนไทยโดยทั่วไป ที่ส่งกำลังใจ-เอาใจช่วยนักกีฬาให้ประสบชัยชนะ
แต่ลำพังปฏิกิริยาหรืออารมณ์ไม่สามารถยกระดับหรือพัฒนาการกีฬาของประเทศขึ้นมาได้
ปรารภของนายกรัฐมนตรีที่สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 77 จังหวัด คัดตัวแทนนักกีฬาเก่งๆ มาแข่งกับนักกีฬาทีมชาติ ถ้าแพ้ให้คัดออก
พร้อมกับเน้นย้ำให้โรงเรียนกีฬาเน้นผลสัมฤทธิ์มากกว่าปริมาณ ไม่ใช่แต่ละปีผลิตนักกีฬาทีมชาติได้ปีละ 2-3 คน ถ้าเช่นนั้นให้ยุบโรงเรียน แล้วนำงบประมาณไปสนับสนุนโรงเรียนปกติดีกว่า
อาจจะเป็นการด่วนสรุปและยังมีอารมณ์เจือปน มากกว่าการใช้เหตุผลและข้อมูลเข้ามาประกอบการตัดสินใจ
เพราะการแพ้ชนะในกีฬาแต่ละประเภทนั้น มีข้อมูลอีกหลายประการต้องนำมาร่วมพิจารณา
อาทิ สถิติของการแข่งขันของนักกีฬาประเภทนั้นๆ ไปจนกระทั่งความสามารถของคู่แข่งขัน
หากสถิติหรือความสามารถในการแข่งขันของนักกีฬาไทยยกระดับขึ้น เมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมา ด้านหนึ่งย่อมแปลว่าการให้การศึกษาด้านการกีฬาพัฒนาขึ้น
แต่จะต้องไม่ลืมว่า ในระหว่างที่เรายกระดับหรือพัฒนาขึ้น นักกีฬาหรือการศึกษาด้านพลศึกษาของประเทศอื่นๆ ก็ปรับปรุงพัฒนาขึ้นตามไปด้วย
ผลแพ้ชนะก็เป็นประเด็นหนึ่งที่ควรแก่การพิจารณา แต่ไม่ใช่ข้อมูลทั้งหมดสำหรับการ ตัดสินใจ
และในฐานะผู้มีอำนาจบริหารสูงสุดของประเทศ การสั่งการหรือแก้ไข ปรับปรุง หรือ พัฒนาอะไรก็ตาม ควรทำไปด้วยเหตุผล ข้อมูล ข้อเท็จจริง
มากกว่าการใช้อารมณ์เฉพาะหน้ามาตัดสิน