การปรากฏขึ้นของข่าวที่ว่า นายอุตตม สาวนายน และ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ จะลาออกและเข้าดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าและเลขาธิการพรรค

มิได้สร้างความแปลกใจให้กับสังคมเท่าใดนัก

เช่นเดียวกับ การออกมาปฏิเสธไม่ว่าจะจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ นายอุตตม สาวนายน และ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์

ก็มิได้สร้างความแปลกใจให้กับสังคมเท่าใดนัก

ทุกอย่างเหมือนกับข่าว “สามมิตรสัญจร”ที่กำลังเลียนแบบ “ครม.สัญจร”อยู่ในขณะนี้

นั่นก็คือ เป็นเรื่องที่รู้ๆกันอยู่ แต่พูดอะไรไม่ออก

สังคมรับรู้ว่า “คสช.” ต้องการอยู่ในอำนาจต่อไป ตั้งแต่เห็นเนื้อหาในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 และที่ปรากฏผ่านรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560

แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม้ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะไม่เคยออกมายอมรับ

ยิ่งกว่านั้น สังคมยังมี “บทสรุป”ตั้งแต่ต้น

ตั้งแต่เห็นการเปิดตัว “ประชารัฐ” เห็นการขับเคลื่อน “ไทยนิยมยั่งยืน”

และประจักษ์ใน “พลังดูด” จาก “ทำเนียบรัฐบาล”

พลันที่คสช.และรัฐบาลเร่งความถี่ในการจัด “ครม.สัญจร”และเมื่อมีการเปิดตัว “กลุ่มสามมิตร” และมีการดำเนินการ “สามมิตรสัญจร”อย่างคึกคัก

ข่าวลือก็ได้รับการปล่อยออกมาอย่างเป็นระบบ

ใน “สามมิตร”ที่ว่า เด่นชัด 1 คือ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน 1 คือ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และอีก 1 เป็น ส.ที่นั่งอยู่ใน “ทำเนียบฯ”

เป็นเรื่องที่ “ชาวบ้านเขารู้กันทั่ว”ว่าเป็นใครอย่างที่ ชาย เมืองสิงห์ เคยร้องบอก

คสช.และรัฐบาลอาจประเมินว่า ท่วงทำนอง “ลับ ลวง พราง”จะเป็นผลดี

แต่ทุกอย่างก็เหมือนกับกลยุทธ์การ “ล็อก”พรรคการเมือง อาจเป็นผลดีเมื่อทำให้ “กลุ่มสามมิตร”เคลื่อนไหวได้อย่างเสรี ขณะที่พรรคการเมืองอื่นไม่อาจขยับขับเคลื่อนได้

แต่ถามว่าชาวบ้านรู้ ชาวบ้านเห็นเรื่องเหล่านี้หรือไม่

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน