ทั้งๆที่ข่าวที่ว่า นายชาดา ไทยเศรษฐ์ จะย้ายจากพรรคชาติไทยพัฒนาเข้าไปอยู่กับพรรคภูมิไทย
ถือได้ว่าอยู่ในพรมแดนแห่ง “พลังดูด”
เหมือนๆกับคำประกาศของ นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข ต่อหน้า นายสมศักดิ์ เทพสุทิน และ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ กลางรีสอร์ตดังจังหวัดเลย
แต่ท่าทีและความรู้สึกในกรณีของ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ คล้ายว่าจะเข้าใจ ยอมรับได้
ขณะที่ท่าทีและความรู้สึกในกรณีของ นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข มากด้วยคำถาม
ทั้งๆที่ทั้ง 2 กรณีล้วนแล้วแต่สะท้อนถึง”พลังดูด”
ความแปลกแปร่งต่อกรณีของ นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข จึงมิได้อยู่ที่ว่า มี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ประสานเข้ากับ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ประการเดียว
หากแต่มองข้ามไปถึงบทบาทและความหมายของ”กลุ่มสามมิตร”ว่ารับงานมาจากที่ใด
นั่นก็คือ มองลึกลงไปยัง”พรรคพลังประชารัฐ”
เมื่อมองลึกไปยังพรรคพลังประชารัฐก็มองเห็นรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 และมองทะลุไปยังแผนในการสืบทอดอำนาจของคสช.
คสช.ซึ่งประกาศจะ”ปฏิรูปการเมือง” คสช.ซึ่งเคยก่นประณามหยามเหยียด “นักการเมือง”
แต่แล้วเมื่อต้องการสืบทอดอำนาจก็หนีไม่พ้นจากการต้องพึ่งบริการของ “นักการเมือง” ไม่ว่าจะผ่านพรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าจะผ่านพรรครวมพลังประชาชาติไทย
ภาพของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ จึงทับซ้อนอยู่กับภาพคสช.
ไม่ว่าจะหงุดหงิดต่อกระบวนการดูดจากกลุ่มสามมิตร พรรคพลังประชารัฐ ไม่ว่าจะเฉยๆต่อกระบวนการดูดจากพรรคภูมิใจไทย
แต่ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งใน”วิถี”ทางการเมือง
เป็นการเมืองดึกดำบรรพ์ เป็นการเมืองตั้งแต่ยุคเสรีมนังคศิลา เป็นการเมืองตั้งแต่ยุคสามัคคีธรรม
เพียงแต่ตอนนั้นมิได้เปล่งคำขวัญ”ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง”