ไม่ว่าจะมองจากมุมทางด้าน “การเมือง” ไม่ว่าจะมองจากมุมทาง ด้าน “การตลาด”
กรณีของ “4 รัฐมนตรี”มีความอ่อนไหว
คำการันตีจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประสานเข้ากับจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ว่า
“ไม่จำเป็นต้องลาออก เพราะไม่มีกฎหมายห้าม”
เด่นชัดอย่างยิ่งว่ามีรากฐานทางด้านกฎหมายจาก นายวิษณุ เครืองาม
แต่หากประเมินผ่านมุม “การเมือง” ประสานกับการประเมิน ผ่านมุม”การตลาด” ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นผลดี ก็ไม่แน่ว่าจะสร้างภาพที่สดใสอย่างเพียงพอ
ยิ่งผ่านไปยิ่งยาวนาน อาจจะยิ่งบั่นทอน
ทั้ง 4 รัฐมนตรีแม้พื้นฐานจะเป็นนักบริหาร นักการเงิน แต่จุดโดด เด่นเป็นอย่างมาก คือ การเป็น “นักการตลาด”
การตลาดคำนึงถึง “ภาพลักษณ์”
ไม่ว่าจะเปิดตัวหรือ LAUNCE สินค้า ยิ่งจำเป็นต้องสนใจในรายละเอียดทั้งกาละและเทศะ
การโฆษณา การประชาสัมพันธ์มีความจำเป็น
แต่ก็มิได้หมายความว่าจะโฆษณาและประชาสัมพันธ์โดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริง เพราะในที่สุดแล้วมูลค่าของสินค้าก็ขึ้นอยู่กับคุณค่าของสินค้า
หากสินค้าขาดความจริงใจ จะตกแต่งถ้อยคำโอ่อ่าอลังการสักเพียงใดก็จะไร้ความหมายเพียงไม่กี่วันคนใช้ก็รู้แล้ว
ยิ่งเป็นสินค้า “การเมือง”ที่แอบอิงมากับคำว่า “ธรรมาภิบาล” ยิ่งจะถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดและจริงจังเป็นพิเศษ
ว่าเป็น”ของจริง”หรือเสมอ “น้ำยาบ้วนปาก”
คำว่าอยู่ในตำแหน่งได้เพราะไม่มีอะไรผิดกฎหมาย อาจอ้างได้ในกาละหนึ่ง แต่เมื่อผ่านมาแล้ว 4 ปีและอยู่เบื้องหน้าการเลือกตั้ง
ท่ามกลางแสงสปอตไลต์ฉายจับ
ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุ วรรณ ล้วนตกอยู่ในกรอบ แล้ว “4 รัฐมนตรี”จะรอดพ้นไปได้อย่างไรเล่า
ยิ่งอยู่นานจะยิ่งร้อนรนเหมือนมดพล่านอยู่ในกะทะ