หากติดตามการเคลื่อนไหวของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ อย่างเกาะติดก็จะเข้าใจมากยิ่งขึ้นว่า เหตุใดเมื่อมีพรรคเพื่อไทยแล้วจึงต้องมีพรรคเพื่อธรรม
และแม้ว่าเมื่อมีพรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อธรรมแล้ว จึงจำเป็นต้องมีพรรคเพื่อชาติ
โดย 3 พรรคนี้อยู่ในเครือข่ายเดียวกัน
เหตุผล 1 เพราะ “รัฐธรรมนูญฉบับ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ออกแบบให้เกิดปัญหาได้ตลอดเวลา”
ปัญหาก็คือ “แยกกันแล้วชนะ รวมกันแล้วแพ้”
เหตุผล 1 “ฝ่ายกปปส.คิดได้ก่อนเรา มีการตั้งฝ่ายเขาถึง 5 พรรค คือ พลังประชารัฐรวมพลังประชาชาติไทย พลังธรรมใหม่ ประชาธิปัตย์ ประชาชนปฏิรูป”
แท้จริงแล้ว ความบันดาลใจอย่างสำคัญในแนวของพรรคเพื่อไทยมาจากการริเริ่มกระทำการของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
นั่นก็คือ ยุทธวิธีในการแตกแบงก์พัน
ในความเป็นจริงมิได้มีแต่พรรคพลังประชารัฐเป็นกองบัญชา การใหญ่ หากแต่ยังแวดล้อมด้วยพรรคประชาชนปฏิรูป พรรครวมพลังประชาชาติไทย
และยังมีพรรคประชาธิปัตย์ที่พร้อมจะเข้ามาเป็นกองหนุนในเวลาอันเหมาะสมอีกด้วย
หากมองไปยังพรรคการเมืองใหม่ หากมองไปยังพรรคพลังธรรมใหม่ หากมองไปยังพรรคพลังชาติไทย หากมองไปถึงการส่งคนจากสปช.และสปท.เข้าไปยังบางพรรคการเมืองเก่า
ก็จะเห็นความอุ่นหนาฝาคั่งของฝ่ายคสช. กปปส.และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยคึกคัก
ขณะที่พรรคเพื่อไทยมีเพียงพรรคเพื่อธรรม พรรคเพื่อชาติ
การก่อรูปแห่งแนวร่วม “เพื่อ”เพื่อไปสัประยุทธ์กับ”พลัง”จึงมีความจำเป็นเป็นอย่างสูง
ข้อดีเป็นอย่างมากของสถานการณ์ก่อนเข้าสู่การเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 จึงเป็นการเปิดหน้าชนกันอย่างเปิดเผย
ไม่ว่าในแนวรบด้าน”พลัง” ไม่ว่าในแนวรบด้าน”เพื่อ”
ครานี้จึงอยู่ที่ว่าในซีกฟากใดจะได้รับความรัก ความไว้วางใจ จากประชาชนได้มากกว่ากัน นั่นก็จะปรากฏผ่านผลการเลือกตั้งว่าชัยชนะจะเป็นของด้านใด
นั่นก็จะเป็นปัจจัย 1 อันเป็นจุดเปลี่ยนในทางการเมือง