คอลัมน์ ‘ออกจากกรอบ’ : “แมลงวันกับไหน้ำผึ้ง” สิ่งที่ล่อลวง ให้หลงคิดว่าเป็นความสุข

โปรโมชั่นพิเศษจากบัตรเครดิตในปัจจุบันช่างเย้ายวนขาช้อปทั้งหลายเหลือเกินนะครับ ทั้งลด ทั้งแถม ทั้งแจกอีกสารพัด แล้วใครบ้างจะใจแข็งพอไม่รูดบัตรรัวๆ กัน แต่วันนี้ “ออกจากกรอบ” ไม่ได้มานำเสนอโปรของลดราคาถูกใจเหล่านักซื้อนะครับ เราจะมาพูดคุยกันว่า สาเหตุที่เราแทบจะวิ่งเข้าชนร้านค้าทุกครั้งที่เห็นป้าย “SALE” และผลที่ตามมาหลังจากที่ใช้เงินเกินกำลังกัน

จากผลสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนช่วง มกราคม-มิถุนายน 2560 สำนักงานสถิติแห่งชาติรวบรวมข้อมูลจากกว่า 26,000 ครัวเรือนทั่วประเทศ พบว่า ครัวเรือนไทยมีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 26,973 บาท ค่าใช้จ่ายเดือนละ 21,897 บาท แต่มีหนี้สินเฉลี่ยสูงถึง 177,128 บาท คิดเป็น 6.6 เท่าของรายได้ 76.1% เป็นการก่อหนี้เพื่อใช้ในครัวเรือน ซึ่งไม่ก่อให้เกิดรายได้ หมายความว่า คนไทยจำนวนมากจับจ่ายใช้สอยกับการอุปโภคบริโภคมากกว่ารายรับ จึงทำให้ต้องเกิดภาวะหนี้สิน จากการหยิบยืม กู้ หรือผ่อน เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของตน

ผมเคยให้คำปรึกษากับคนหลายวัย หลายสาขาอาชีพ เกี่ยวกับปัญหาการใช้เงิน ทั้งที่สภาพรายรับ และภาระหน้าที่ต่างกัน แต่ทุกคนล้วนแต่มีจิตใจอย่างหนึ่งที่คล้ายกันในการใช้เงิน

เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย ผมขอยกตัวอย่างกรณีของ คุณพลอย เธออายุ 25 ปี ทำงานอยู่ในธนาคารแห่งหนึ่ง ด้วยความที่ยังอายุน้อย จึงเป็นธรรมชาติของหญิงสาว ที่จะรักสวยรักงาม ตอนที่ยังเป็นนักศึกษา ยังไม่มีอิสรภาพทางการเงิน เธอไม่ค่อยให้ความสนใจกับคำเชิญชวนของสถาบันเสริมความงามต่างๆ เท่าใดนัก

แต่เมื่อเข้าสังคมทำงาน มีเพื่อนร่วมงานมากมายที่แต่งตัวดูดี ใช้สินค้าแบรนด์เนม กินอยู่หรู ท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ พอเล่น ‘โซเซียล’ เห็นชีวิตดีๆ ชิกๆ และใบหน้าที่เริ่มเปลี่ยนไปของเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันมาอีก ทำให้คุณพลอยเริ่มมีจิตใจที่อยากจะดูดี ดูรวย ดูสวยขึ้นมาบ้าง เธอจึงไปซื้อคอร์สทำหน้าคอร์สหนึ่งราคา 20,000 บาท ซึ่งในขณะนั้นเธอได้รับเงินเดือน 22,000 บาทต่อเดือน

ปกติเราคงไม่กล้าใช้เงินเดือนเกือบทั้งเดือนที่หามาได้ในการดูแลผิวพรรณใช่ไหมครับ คุณพลอยก็ลังเลเหมือนกัน แต่เมื่อตอนที่ได้ยินว่า สามารถแบ่งจ่าย ได้ 10 เดือน โดยไม่เสียดอกเบี้ย เมื่อจ่ายผ่านบัตรเครดิต เธอไม่ลังเลที่จะหยิบบัตรเครดิตออกมา และรูดซื้อคอร์ส

การผ่อนจ่ายเดือนละ 2,000 บาท อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่มาก แต่ในขณะนั้นเธอยังต้องผ่อนโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ ผ่อนรถ ผ่อนคอนโด และยังมีแผนอยากไปเที่ยวอเมริกาอีก

ปัจจุบันคนเราไม่ค่อยเสียดายหรือลังเลกับการใช้เงินตอบสนองความต้องการ ไม่ว่าจะกิน ดื่ม เครื่องแต่งกาย การได้ครอบครองสิ่งของมีราคา

ผมขอเปรียบการหาความสุขจากการจับจ่ายเช่นนี้ด้วยนิทานเรื่อง “แมลงวันกับไหน้ำผึ้ง” ในบ้านหลังหนึ่ง มีน้ำผึ้งไหลนองเต็มพื้นหกจากไห แมลงวันฝูงใหญ่บินพากันกินน้ำผึ้งอย่างเอร็ดอร่อย

แต่ถึงจะอิ่มแล้วแมลงวันก็ไม่บินจากไป พวกมันกลับเข้าไปย่ำเดินในกองน้ำผึ้ง จนกระทั่งปีกและขาของเหล่าแมลงวันติดหนึบอยู่ในน้ำผึ้งเหนียว จนขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้ สุดท้ายฝูงแมลงวันก็ตายอยู่ในนั้น

สิ่งนี้เป็นเหมือนน้ำผึ้งที่หอมหวานเย้ายวนให้ติดยิ่งนัก ทำให้คนมากมายหลงใหลมัวเมา และคิดว่าสิ่งนี้คือความสุขของชีวิต ซี่งจิตใจนี้เองเปรียบเหมือนกับยาเสพติด ยิ่งเสพมากเท่าไร ความต้องการก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น จากที่เคยพอใจกับร้านข้าวแกงตามทาง ก็ต้องเปลี่ยนไปนั่งร้านอาหารหรู จากที่เคยใส่เสื้อผ้าราคาไม่แพงหาได้ทั่วไป ก็เริ่มต้องมีเสื้อแบรนด์เนมติดตู้ไว้บ้าง จากเคยเดินทางด้วยระบบการขนส่งมวลชน ก็เริ่มอยากผ่อนรถสักคันไว้ขับไปไหนมาไหน

บางคนมีหนี้สิน บางคนเป็นหนี้บัตรเครดิต บางคนดีหน่อยไม่เป็นหนี้ แต่ไม่มีเงินเก็บ เพราะใช้เงินอนาคตจนหมด

หลังจากคุณพลอยไปทำหน้ามา 1 ครั้ง เธอก็เข้ามาคุยกับผม เมื่อผมได้ฟังก็อธิบายแมลงวันกับไหน้ำผึ้งให้ฟัง พร้อมทั้งถามเธอว่า “ทำมาแล้วสวยขึ้นไหม ทำมาแล้วมีความสุขขึ้นไหม” คุณพลอยตอบว่า “อาจารย์คะ ฉันไม่อยากจะเป็นแบบนี้อีกแล้ว ฉันแค่คิดว่าคนอื่นๆ ก็ทำกัน ฉันเองก็อยากให้ตัวเองดูดีเหมือนกับคนอื่น ฉันก็อยากใช้ชีวิตดีๆ เหมือนกับคนอื่นบ้าง” ผมบอกเธอว่า “คุณพลอยครับ ทุกคนก็ชอบ และอยากกินน้ำผึ้ง แต่ปัญหาคือ การถลำลึกเพลิดเพลินกับน้ำผึ้งเรื่อยๆ

จนสุดท้ายออกมาไม่ได้ แล้วต้องตายไปต่างหาก ซึ่งคุณพลอยกำลังอยู่ในสภาพนั้นครับ ตอนนี้คุณพลอยมีภาระหลายอย่าง ถ้ายังไม่รู้สึกตัวถึงความน่ากลัวของจิตใจ ที่ใช้เงินโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา สุดท้ายคุณพลอยจะไม่ต่างไปจากแมลงวันที่ติดอยู่กับน้ำผึ้งจนตายนะครับ” หลังจากนั้นคุณพลอยก็ตัดสินใจไปขอยกเลิกคอร์สเสริมความงามและบัตรเครดิต

ในขณะที่กำลังพึงพอใจกับความงามที่เห็นด้วยตา กับหูที่ได้ยินเสียงชื่นชมซึ่งหอมหวานราวกับน้ำผึ้งนี้ ลองหันมามองสภาพการเงิน คิดถึงอนาคต คิดถึงจิตใจของตัวเอง และคิดถึงสิ่งต่างๆ ที่คุณทุ่มเทเงิน และเวลาเพื่อให้ได้มา

คุณจะพบว่าในจิตใจยังคงว่างเปล่า มีแต่ความกังวล หนี้สินเพิ่มพูน และชีวิตยังคงไร้ความสุขเหมือนเดิม แล้วถึงเวลาหรือยังครับที่ทุกท่านจะเริ่มมองว่าตัวท่าน “ติดกับ” น้ำผึ้งไปขนาดไหนแล้ว


ดร.(กิตติมศักดิ์) ฮักเชิล คิม
ผู้ก่อตั้งมูลนิธิเยาวชนสัมพันธ์นานาชาติ ประจำประเทศไทย
[email protected]

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน