ดับเบิลซีไรต์ – ประชาธิปไตย ในงานมหกรรมหนังสือครั้งใหม่
ดับเบิลซีไรต์ – จากผู้คว้ารางวัลซีไรต์ประจำปี พ.ศ. 2558 วีรพร นิติประภา คุณแม่ลูกหนึ่ง สาวพังก์ และ เน็ตไอดอล เจ้าของหนังสือ “ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต” สร้างความฮือฮาให้วงการวรรณกรรมไทย เมื่อคว้ารางวัลซีไรต์ได้อีกครั้งในปีนี้
ด้วยผลงานนวนิยาย “พุทธศักราชอัสดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ” นวนิยายเข้มข้นที่หลายคนหลงรักและเคยคว้ารางวัลดีเด่น ประเภทนวนิยายประจำปี 2560 จาก สพฐ. และรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 เซเว่นบุ๊คอะวอร์ด ครั้งที่ 14 ประจำปี 2560 มาครอง
“พุทธศักราชอัสดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ” นำเสนอเรื่องเล่าของครอบครัวชาวจีนโพ้นทะเลด้วยมุมมองใหม่ การต่อสู้ดิ้นรนของชีวิตในแต่ละรุ่นของครอบครัวใหญ่ เล่าคู่ขนานไปกับเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคมทั้งของไทยและจีน ซึ่งส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและชะตากรรมของตัวละครแต่ละตัว
นวนิยายเรื่องนี้โดดเด่นในการใช้ความทรงจำและประวัติ ศาสตร์ความรู้สึกส่วนบุคคลซึ่งกลายเป็นความทรงจำร่วมของสังคม มีทั้งเรื่องที่เลือกจะเล่าและเรื่องที่เลือกจะลืม แหว่งวิ่นและคลุมเครือ สะท้อนทั้งความเศร้า ความสุข ความแค้น ความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความเสียสละ ความหวังอันเรืองรองและริบหรี่ รวมทั้งอารมณ์ความรู้สึกอีกมากมายมหาศาลที่ขับเคลื่อนให้ชีวิตดำเนินต่อไป
เมื่อผู้สร้างสรรค์เป็นนักเขียนหญิงคนแรกที่คว้าดับเบิลซีไรต์ จึงเป็นที่มาของคำถามยอดฮิตว่า อะไรที่ทำให้หนังสือเล่มนี้สร้างประวัติศาสตร์ให้วงการ
เผยชอบเขียนสไตล์แบบ “ด้นสด”
วีรพรเล่าถึงที่มาของ “พุทธศักราชอัสดงฯ” ว่า เริ่มต้นจากอยากทำเรื่องเล่าประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับการอพยพครั้งใหญ่ที่สุดของคนจีนในประเทศไทย โดยวางเส้นเรื่องไว้เยอะมาก ทั้งยังเป็นเรื่องย้อนยุคที่ต้องมีมิติและแง่มุมทางประวัติศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ว่าเรามองประวัติศาสตร์ หรืออ่านประวัติศาสตร์อย่างไร
ประวัติศาสตร์ที่หายไปคือประวัติศาสตร์ของเรื่องเล่า ประวัติศาสตร์ของความรู้สึก ประวัติศาสตร์ที่ผลักดันเรามาสู่จุดที่เราอยู่ โดยไม่ใช่ประวัติศาสตร์กระแสหลักเพียงอย่างเดียว บางส่วนอาจเป็นเรื่องเล่าจากครอบครัวทางบ้านแม่ หรือครอบครัวของตัวเองที่เห็นความยุ่งเหยิง ของเส้นสายและความเชื่อบางอย่างอยู่ในนั้นด้วย
ด้วยชื่อเรื่องที่ยาวเหยียดและตัวละครที่เป็นเอกลักษณ์นี้ วีรพรอธิบายว่า ที่ชื่อเรื่องยาว เพราะรู้สึกว่าน่าสนใจ ทั้งยังสรุปเรื่องราวทั้งหมดในหนังสือได้ดี
ส่วนเรื่องตัวละครที่มีเอกลักษณ์ในเรื่อง ล้วนหยิบจับเอาจากนิสัยของคนรอบตัวมาใช้เป็นต้นแบบของตัวละครทั้งหมด กระทั่งแมวในเรื่องก็เอามาจากแมวที่บ้านซึ่งเป็นแมวสะบัดสะบิ้ง รวมถึงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอื่นๆ จากที่เคยประสบมาในชีวิตก็เอามาใส่ไว้ในเรื่อง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับอารมณ์ที่สุดแท้แต่จะรังสรรค์ขึ้นมาเหมือนกัน
สำหรับที่มาของสไตล์การเขียน วีรพรอธิบายว่า เดิมเป็นคนชอบเขียนอยู่แล้ว แต่ก่อนทำงานเกี่ยวกับโฆษณาก็เริ่มจากการเป็นก๊อบปี้ไรเตอร์ รวมทั้งเคยเขียนเรื่องสั้นมาก่อน พองานมาเราก็ต้องเขียนให้ได้ตามกำหนด เลยไม่ค่อยมีอาการเขียนแล้วตันหรือคิดไม่ออกไปต่อไม่ได้ รวมถึงมีบุคคลต้นแบบที่ชอบในผลงานอยู่หลายท่าน เราก็ศึกษาเอาจากหลายๆ ทาง
หลายคนก็อาจมีสไตล์และวิธีการวางโครงเรื่องหรือการดำเนินเรื่องแบบเป็น สเต็ปๆไป แต่สำหรับเราแล้วอาจเรียกได้ว่าเป็นสไตล์แบบ “ด้นสด” ก็ว่าได้ เราชอบให้ตัวละครค่อยๆ หาทางออกไปพร้อมๆ กับเรา มันรู้สึกสนุกเวลาเขียน
“สิ่งที่เราให้ความสำคัญมาก ไม่ได้อยู่ที่เนื้อเรื่องที่มีความประหลาดมหัศจรรย์ แต่อยู่ที่ตัวละครทุกตัวต้องได้รับความยุติธรรมที่เท่าเทียมกันในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง มีเหตุและผลเพียงพอที่จะทำดีทำชั่ว หัวเราะ ร้องไห้ เราต้องสร้างสิ่งนี้ให้มีอยู่เป็นเสาหลักในเรื่องให้ได้”
มาถึงความเข้มข้นของการดำเนินเรื่อง วีรพรบอกว่า เนื้อเรื่องจะเต็มไปด้วยความสุข ความรัก ความฝัน ความสำเร็จ และความหวัง คล้ายกับการใช้ชีวิตของคนเราที่ต้องเผชิญหน้ากับสึนามิซึ่งซัดมา หนึ่งลูก คุณก็จะคิดว่าคุณไม่มีความหวัง คุณตายแน่ แต่คุณดันทะลึ่งขึ้นมาเหนือน้ำได้ในลูกที่สอง แล้วคุณก็รอดอีก พอถึงลูกที่สามคุณจะรู้สึกว่าคุณรอดแน่นอน มันเป็นความหวังแปลกๆ ในการเอาชีวิตรอดของมนุษย์ในสถานการณ์เลวร้าย ซึ่งเราก็หวังว่าทุกคนจะมีเจ้าความหวังนี้อยู่ แบบก๊อก 3 ก๊อก 4 เก็บไว้ จนเหมือนจะ เป็นอมตะ
“เราไม่ได้คาดหวังว่าคนอ่านจะได้อะไรจากเราไปมากมายขนาดนั้น มันขึ้นอยู่กับคนอ่าน คุณอยากได้อะไรเอาไปเลย เพราะแต่ละคนมีมุมมองที่จะคิดวิเคราะห์หรือรู้สึกต่างกัน ความคาดหวังเดียวของเราตั้งแต่เรื่องไส้เดือนฯมาถึงเรื่องนี้ ขออย่างเดียวคือ อ่านตั้งแต่หน้าแรกยันจบก็พอ หรือจะให้ดีที่สุดคือกลับมาอ่านอีกครั้ง เท่านี้ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จของนักเขียนแล้ว”
เมื่อถามถึงความรู้สึกที่ได้รับรางวัล ซีไรต์ติดต่อกัน 2 ครั้งนี้ คำตอบที่ได้คือ “ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้รางวัลเลย เพราะที่เขียนหนังสืออยู่ทุกวันนี้ก็เพราะชอบอย่างเดียวล้วนๆ ได้ครั้งแรกก็ดีใจ ครั้งที่สองก็ดีใจ ซึ่งถ้าถามว่ารู้สึกคาดหวังหรือกดดันกับรางวัลครั้งที่สามในครั้งต่อไปด้วยไหม บอกเลยว่าไม่สักนิด ใครมันจะไปได้ตลอด เรื่องอื่นๆ ที่เขียนดีมีเยอะแยะ เราเขียน โดยไม่ได้เอารางวัลเป็นที่ตั้งอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าเราได้รางวัลครั้งแรก หมายความว่าครั้งที่สองเราก็ต้องเขียนแบบครั้งแรกเหรอ? แล้วครั้งที่สามก็ต้องเขียนแบบครั้งที่สองเหรอ? แบบนี้เรา ก็หมดสิทธิ์ที่จะหาอะไรใหม่ๆ มาพัฒนา ตัวเองสิ”
ทั้งนี้ ผลงานอื่นๆ ที่กำลังจะตามมา นักเขียนหญิงกำลังเตรียมอยู่ 2 เรื่อง หนึ่งคือ นิยายสำหรับเด็กโต อายุ 13 ปีขึ้นไป เนื้อเรื่องเกี่ยวกับความจริง–ไม่จริง และความเข้าใจของคนรุ่นใหม่ ที่ความไม่จริงกลายเป็นความจริง เนื่องจากเด็กในยุคนี้กำลังเผชิญกับสิ่งเหล่านี้อยู่ ส่วนอีกเรื่องจะเกี่ยวกับการเติบโตของคนในระบบการศึกษา เพราะส่วนตัวเห็นว่าบ้านเรากำลังมีปัญหาเรื่องนี้อยู่ ซึ่งทั้ง 2 เรื่องกำลังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้น
วีรพรยังบอกด้วยว่าอยากให้นักอ่าน ได้ลองอ่านหนังสือเล่มอื่นด้วย โดยเฉพาะเล่มที่เข้ารอบซีไรต์มาด้วยกัน เพราะบางครั้งหนังสือที่ได้รางวัลมักจะถูกพูดถึงอยู่เล่มเดียว เข้าใจว่าไม่สามารถมอบรางวัลให้แก่หนังสือได้หมดทุกเล่ม แต่หนังสือ 8 เล่มที่เข้ารอบมาล้วนเป็นหนังสือที่น่าอ่านมาก
จังหวะพอดีที่ งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ จะเปิดฉากวันที่ 17 ต.ค.นี้ และจะมีไปจนถึงวันที่ 28 ต.ค. หนังสือ “พุทธศักราชอัสดงกับทรงจำของทรงจำของแมวกุหลาบดำ” ประจำการอยู่ที่แผงในบูธมติชน โซนพลาซ่า ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ด้วยอย่างแน่นอนในราคาพิเศษที่อยากร่วมฉลองให้กับทั้งนักเขียนและนักอ่าน พร้อมกับการเสวนาซีไรต์ กับนักเขียนหญิงวีรพร เวลา 19.00-20.00 น. ที่เวทีเอเทรียม วันที่ 18 ต.ค.
ขณะที่หนังสือดีๆ สะดุดตาอีกหลายเล่ม โดยเฉพาะแนวการเมืองที่เข้ากับบรรยากาศปูทางไปสู่การเลือกตั้ง จะมายึดแผงของบูธมติชนด้วย
เริ่มจาก “เผด็จการวิทยา” หนังสือวิชาการจากการคัดสรร และเรียบเรียงจากคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์มติชนของ พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ นักคิดนักวิเคราะห์ทางการเมืองจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ อธิบายถึงระบอบเผด็จการรูปแบบต่างๆ ทฤษฎีว่าด้วยแนวคิดพื้นฐาน กองทัพและความมั่นคง การเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยและบทเรียนจากต่างประเทศ ไปถึงความปรองดองสมานฉันท์และสังคมยุคหลังเผด็จการ
เล่มต่อมา “การเมืองภาคประชาชน” โดย “อุเชนทร์ เชียงเสน” นักวิชาการหนุ่มผู้คร่ำหวอดกับการคิดวิเคราะห์ปรากฏการณ์ทางการเมืองในแง่มุมต่างๆ นำเสนอรากเหง้าของปัญหาบ้านเมืองภายหลังเหตุการณ์ทางการเมือง เชื่อมโยงไปยังจุดเริ่มต้นของวาทกรรมการเมืองภาคประชาชน นั่นคือ การตรวจสอบ ถ่วงดุล และคัดค้านนโยบายรัฐที่มีผลกระทบกับคนส่วนใหญ่
ที่สำคัญคือ การถือกำเนิด “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” เพื่อขับไล่ระบอบทักษิณทำให้เห็นการต่อสู้เรียกร้องในฐานะการเมืองภาคประชาชนที่ต่างไปจากอดีต ส่วนจะต่างอย่างไร หรือใครคือผู้กำหนดการเรียกร้อง มีคำอธิบายให้ในเล่มนี้
ถ้าพูดถึงการเมือง แล้วไม่มี “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” นาทีนี้คงไม่ได้
เจนวิทย์ เชื้อสาวะถี ถ่ายทอดเรื่องราวของผู้นำพรรคอนาคตใหม่ ผ่านหนังสือ “ปักธงอนาคต The Future is Ours” เปิดทุกมิติของชีวิตธนาธรมากกว่าที่เคย ไม่ว่าจะในบทบาทลูกชายของแม่ พี่ของน้อง สามีของภรรยา พ่อของลูก หลานของอา เจ้านายของลูกน้อง หรือเพื่อนกับเพื่อน หลอมรวมเป็นเรื่องราวสุดเข้มข้นที่ผู้อ่านไม่ควรพลาด
อ่านอนาคตแล้วน่าต้องอ่านอดีตด้วย “เลือดสีน้ำเงิน” โดย ปฐมาวดี วิเชียรนิตย์ พาไปรู้จักประวัติศาสตร์ความคิดของกลุ่มการเมืองที่ยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับ “คณะราษฎร” มีการเคลื่อนไหวในช่วงเวลา รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 กบฏบวรเดช สงครามโลกครั้งที่ 2 และยุคเผด็จการทหาร 2490-2500
นอกจากนี้ยังมี “ชันสูตรประวัติศาสตร์ ไขปริศนาพระเจ้าตาก” โดย รศ.นพ.เอกชัย โควาวิสารัช ที่จะมาไขข้อสงสัยในประเด็นเกี่ยวกับพระราชประวัติ ไล่เรียงไปจนถึงสวรรคต
ส่วน “การเมืองในราชสำนักฝ่ายใน สมัยรัชกาลที่ 5” โดย ฉัตรดาว ลีเชวงวงศ์ เล่าเรื่องราวชีวิตเร้นลับของเหล่าอิสตรีที่เต็มไปด้วยความรัก แรงปรารถนา อำนาจ การเมือง และสายสัมพันธ์ ระหว่างพระภรรยาเจ้าและพระภรรยาที่ช่วงชิงความเป็นใหญ่เหนือสตรีทั้งมวล
นอกเหนือไปจากการเมือง สำนักพิมพ์มติชนยังคงนำเสนอหนังสือหลากรสเอาใจผู้อ่านหลากหลาย ไม่ว่าผลงานของ “หนุ่มเมืองจันท์” ขายดีทุกงานหนังสือ เที่ยวนี้มาในชื่อ “เพราะฉะนั้นฉันจึงถาม” ตามด้วยงานแปล “สองปี แปดเดือน กับยี่สิบแปดคืน” จาก ซัลมาน รัชดี นักเขียนมือรางวัลระดับโลก แปลโดย สุนันทา วรรณสินธ์ เบล
และขาดไม่ได้สำหรับการก้าวสู่ปีใหม่ “ศาสตร์แห่งโหร 2562” คำทำนายต้อนรับปีกุนจาก 9 โหราจารย์ชื่อดัง
แน่นอนว่าสีสันสวยๆ จากสำนักพิมพ์มติชนคือของพรีเมียมที่มอบให้ผู้ซื้อหนังสือในโปรโมชั่นต่างๆ เป็นลายหนูน้อยมาร์ดี ผลงานออกแบบของอเล็กซ์ เฟซ ที่น่ารักและน่าสะสมอย่างยิ่ง
พบกันที่งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ 17-28 ต.ค.นี้ เวลา 10.00-21.00 น. ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์