เหมือนกับเป็นเรื่องเล็กๆ กรณี “อัยการ” มีคำสั่งไม่ฟ้อง “เจ้าคุณแป๊ะ”ในกรณีของการมีส่วนในการครอบครอง”รถ”
แต่หากดูจากสภาพ”แวดล้อม”ก็จะต้องตกใจ
ตกใจเพราะว่า 1 คดีนี้มีความสัมพันธ์กับ สมเด็จพระมหารัชช มังคลาจารย์(ช่วง วรปัญโญ)
1 รถที่ว่านั้นมิได้เป็นรถอย่างธรรมดา
ตรงกันข้าม เป็น “รถโบราณ” แต่ได้ถูกตีความและขยายจนกลายเป็น “รถหรู”
1 สำนวนคดีอยู่ในความรับผิดชอบของ “ดีเอสไอ”
พลันที่องค์ประกอบเริ่มจาก “ดีเอสไอ” ประสานเข้าไปยัง”รถหรู” และปลายทางที่ต้องการพาดพิงไปถึง คือ สมเด็จพระมหารัชชมังคลาจารย์(ช่วง วรปัญโญ)
ก็เริ่ม “กระสา” ต่อ “กลิ่น” แปลก-แปลก
คำสั่งไม่ฟ้องต่อ “เจ้าคุณแป๊ะ” ในคดีการครอบครองรถครั้งนี้จึงมิได้เป็น “เรื่องเล็ก”
หากเป็น “เรื่องใหญ่” อย่างชนิด “เบ้อเริ่มเทิ่ม”

ถามว่า ที่เรียกว่า “รถหรู” นั้นดำเนินมาอย่างไร ทั้งๆที่ในความเป็นจริงคดีนี้มีจุดเริ่มมาจาก “รถโบราณ”
เป็น “รถโบราณ” อันอยู่ใน “มิวเซียม”
เป็น “มิวเซียม” ของวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ตั้งโชว์เพื่อประโยชน์ในทางการศึกษา เรียนรู้
เรียนรู้ในเรื่อง “รถโบราณ”
แต่พลันที่ค่ำว่า “รถโบราณ” ถูกขยายกระทั่งกลายเป็น “รถหรู”ก็กลายเป็นคนละเรื่อง
และเมื่อเป้าหมายเป็น สมเด็จพระมหารัชชมังคลาจารย์(ช่วง วรปัญโญ) สถานะและการดำรงอยู่ของ “รถหรู” ย่อมกลายเป็นเครื่องร้อยรัดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
เป็นเรื่องที่นำไปสู่กรณีในแบบ “สมณสารูป”
พลอยทำให้ “มติ” อันมาจากที่ประชุม”มหาเถรสมาคม”เมื่อเดือนมกราคม 2559 อย่างเป็นเอกฉันท์ ไม่สามารถมี “ผล”ทางการปฏิบัติได้อย่างเป็นจริง
คาราคาซังจนถึงเดือนธันวาคม ปีเดียวกัน

คำสั่ง”ไม่ฟ้อง”โดยอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ สำนักอัยการสูงสุด จึงสำคัญ
แม้ว่าจะยังไม่มี “ผล” อย่างเบ็ดเสร็จ เด็ดขาด
เพราะต้องส่งรายละเอียดคืนกลับไปยัง พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ก่อน
จำเป็นต้องรับฟัง”ความเห็น”จาก”ต้นเรื่อง”
กระนั้น เหตุผล 1 ที่ว่า ไม่มีพยานหลักฐานใดพิสูจน์ได้ และอีกเหตุผล 1 ที่ว่าคดีขาดอายุความ
ก็ไม่ควรมองข้าม
คำสั่ง”ไม่ฟ้อง”ต่อ “เจ้าคุณแป๊ะ”จึงมีผลสะเทือนอย่างสำคัญไปยังสิ่งที่เรียกว่า “คดีรถหรู”
ทำให้ “รถหรู” คือกลับสู่สถานะแห่ง “รถโบราณ”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน