ปรากฏการณ์สกัดขบวนรถทัวร์”อุทยานราชภักดิ์”ของ “จ่านิว” ไม่ว่าจาก สภ.บ้านโป่ง ราชบุรี ไม่ว่าจากสภ.เขาย้อย เพชรบุรี โดยตำรวจและทหารจากมทบ.15 กองทัพภาคที่ 1

น่าศึกเป็นอย่างสูง ไม่ว่าในด้าน”การท่องเที่ยว” ไม่ว่าในด้าน การรักษา”ความสงบเรียบร้อย”

คำถามก็คือ ทหาร ตำรวจ ใช้”อำนาจ”อะไร

เป็นอำนาจตามประกาศคสช.ฉบับที่ 57/2557 หรือเป็นอำนาจตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ฉบับที่ 3/2558

อันเคยใช้มาแล้วอันเกี่ยวกับ”อุทยานราชภักดิ์”

กรณีนี้จึงน่าศึกษาเป็นอย่างสูง ไม่ว่าจากฐานในทางกฎหมาย ไม่ว่าจากฐานในทางการเมือง

ทำไมจึงมี”สถานการณ์”เช่นนี้ปรากฏขึ้น

หากมองจาก”ปรากฏการณ์”ที่เกิดขึ้น ทหารและตำรวจแทบไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะระงับยับยั้งการเดินทางไป”อุทยานราชภักดิ์” ของ “จ่านิว”และคณะ

เพราะ”อุทยานราชภักดิ์” เป็นอุทยาน “เปิด” ต้อนรับประชาชนทั่วไปอยู่แล้ว

คำถามก็คือทำไมต้องห้าม “จ่านิว”และคณะ

นี่ย่อมเหมือนกับการอุ้มคณะทัวร์เมื่อปี 2558 รุนแรงกระทั่งตัดโบกี้รถไฟที่ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี

หรือการอุ้ม นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ

เพียงเพราะคณะบุคคลเหล่านี้ต้องการไปเที่ยวชมความอลัง การของ”อุทยานราชภักดิ์”เท่านั้นเอง

หนใหม่นี้ถึงกับมีการตรวจปัสสาวะเพื่อหาสารเสพติด

ปฏิบัติการนี้เริ่มจากที่จังหวัดราชบุรีและต่อเนื่องไปจนถึงจัง หวัดเพชรบุรี เป้าหมายเดียวก็คือ ทำให้การเดินทางไป”อุทยานราชภักดิ์”ต้องล้มเลิกกลางคัน

ถามว่าทำไมจึงไม่อยากให้ไป “อุทยานราชภักดิ์”

คำถามนี้มิได้พุ่งเป้าไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากเน้นไปยังเจ้าหน้าที่ทหารอย่างเป็นด้านหลัก

มีเงื่อนงำอะไรซ่อนเร้นใน”อุทยานราชภักดิ์”

จึงไม่ยอมให้คนอย่าง “จ่านิว”และคณะ จึงไม่ยอมให้คนอย่าง นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้ไปเที่ยวชมดู

คำถามนี้พุ่งเป้าไปยัง”กองทัพ”อย่างยากจะปัดปฏิเสธได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน