ไม่ว่าข่าวการจะรื้อ 2 คดีอันเกี่ยวกับ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ของป.ป.ช. ไม่ว่าข่าวการบุกเข้าจับกุมตัว นายพรชัย ศรีสุริยันโยธิน บนเวทีปราศรัยที่บุรีรัมย์

นี่แหละคือ สินค้าตัวอย่างในทางการเมือง

เป็นรูปธรรมของ “ข่าวลือ” ที่ปลิวว่อนในห้วงแห่งการแผ่พลานุภาพแห่ง “พลังดูด” อันยิ่งใหญ่ไม่ว่าจะต่อพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะต่อพรรคเพื่อไทย

นั่นก็คือ 1 หลอกล่อด้วยตำแหน่งที่ปรึกษา กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี รองผู้ว่ากทม.

นั่นก็คือ 1 หยิบเอาคดีความเข้ามาคุกคาม กดบีบ

ในตอนต้นอาจเป็นบางส่วนจากพรรคประชาธิปัตย์ แต่ในที่สุดเป้าหมายก็คือพรรคเพื่อไทย

คดีอันเกี่ยวข้องกับ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ มิใช่ว่าเพิ่งเกิดขึ้น หากเป็นผลโดยตรงจากรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557

เหมือนกับที่มีการเล่นงาน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

เพราะการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเป็นมติจากครม. เพราะการจ่ายเงินเยียวยาผู้ประสบจากสถานการณ์ความวุ่นวายระหว่างปี 2548-2553 ก็จากมติครม.

เป็นเรื่องเก่าและเคยมีการหยิบยกขึ้นมาเพื่อดิสเครดิตตั้งแต่เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว

เช่นเดียวกับกรณีของ นายพรชัย ศรีสุริยันโยธิน ก็เรื่องเก่า

เพราะหากเป็นเรื่องใหม่ก็คงไม่มี “หมายจับ” และที่เลือกเอาบนเวทีปราศรัยก็เพื่อตัดไม้ข่มนาม

หาก นายพรชัย ศรีสุริยันโยธิน กลายเป็นองค์ประกอบ 1 ของพรรคพลังประชารัฐ เรื่องแบบนี้คงไม่มี

หากนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ไม่ทะยานไปอยู่ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคงไม่ปรากฏเป็นข่าวขึ้น

เหตุจึงเกิดขึ้นเพราะว่าทั้ง 2 ครองหยกอันสำคัญในมือ

กว่าการเลือกตั้งในทางเป็นจริงจะต้องเกิดขึ้นตามกำหนดวันของกกต.

กระบวนการหยิบเอาคดีความมาจัดการกับเป้าหมายที่อยู่ในพรรคเพื่อไทยจะต้องปรากฏขึ้นอีก

ยิ่งพรรคเพื่อไทยมีการเคลื่อนไหวคึกคักเพียงใด มีคะแนนนิยมหนาแน่นกว้างขวางเพียงใด

พรรคเพื่อไทยและคนเพื่อไทยจะยิ่งตกเป็น “เป้า”กระหน่ำเข้า อย่างต่อเนื่อง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน