การเปิดให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง กับ นายอดิศร เพียงเกษ นำร่อง ด้วยการเปิดปราศรัยบนเวทีทางภาคอีสานและบุกทะลวงเข้ามาที่ กทม.กำลังสำแดงผลอย่างเป็นรูปธรรม

เนื้อหาด้านหลักที่กระหน่ำอย่างไม่ยั้งคือ “คสช.”

ไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ โดนหมดไล่ตั้งแต่ก่อนและหลังรัฐประหารเมื่อปี 2557

ขณะเดียวกัน เมื่อเจาะเข้าไปในพื้นที่กทม.ก็ดำเนินกลยุทธ์ในแบบ”เหล้าพ่วงเบียร์” คือ ไล่เป็นลูกระนาดจาก “คสช.”ยันพรรค ประชาธิปัตย์

แม้กระทั่งบทบาทของพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมพลังประชาชาติไทยก็ไม่มีเว้น

ผลสะเทือนจากปฏิบัติการนำร่องแบบสายล่อฟ้าวัดอย่างไร

วัดจากไม่ว่าเมื่อ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน เดินสายไปทางภาคเหนือ ไม่ว่า นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เดินสายไปทางภาคอีสาน ล้วนหนีไม่พ้นเงาจากพรรคเพื่อไทย

แทนที่จะโจมตี คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จำเป็นต้องเล่นงาน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง

ยิ่งกรณี นายอดิศร เพียงเกษ ยิ่งวิลิศมาหรา

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เล่นบททวงบุญคุณเพื่อแสดงให้เห็น ว่า นายอดิศร เพียงเกษ เปลี่ยนไป

ทั้งๆที่เมื่อเล่นบททวงบุญคุณ ปลายหอกก็ตวัดมาถึงก้านคอ ของทั้ง นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่เคยอยู่กับพรรคไทยรักไทยพอๆกัน

ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง นายอดิศร เพียงเกษ อยู่กับไทยรักไทย พลังประชาชนต่อเนื่องมาถึงเพื่อไทย

แต่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน แปรเปลี่ยนไม่ขาดสายกระทั่งมาถึงพรรคพลังประชารัฐ

เท่ากับหอกที่ซัดไปข้างหน้าย้อนกลับมายังปลายอกตัวเอง

จึงไม่แปลกที่ทั้งกลุ่ม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน และพรรคประชาธิปัตย์ จะเริ่มเห็น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และ นายอดิศร เพียงเกษ เป็นศัตรูตัวกลั่น

ในอีกด้านหนึ่ง จึงเท่ากับเสร็จกลยุทธ์”เพื่อไทย”

ขณะที่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ควง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เก็บคะแนนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ทุกอย่างดำเนินในแบบ “การศึกมิหน่ายเล่ห์”โดยแท้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน