FootNote : ทำไม ชะตากรรม ร่างพรบ.ข้าว จึงโยงยาว มายัง พลังประชารัฐ
ความเร่าร้อนของสมาชิกสภานิติบัญญัติ (สนช.) ต่อร่างพรบ.ข้าวจะกลายเป็น “เผือกร้อน” ในมือของรัฐบาลและในมือของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ไม่ว่าจะ “เดินหน้า” ไม่ว่าจะ “ถอยหลัง”
เพราะเมื่อเป็นความรับผิดชอบที่รัฐบาลและ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องเข้าไปแบก นั่นหมายถึงย่อมจะส่งผลสะเทือนไปถึงคสช.
เพราะว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่เพียงเป็นหัวหน้ารัฐบาล หากแต่ยังอยู่ในฐานะหัวหน้าคสช.
เพราะว่า “สนช.” เป็น 1 ใน “แม่น้ำ 5 สาย”
เมื่อเป็นความรับผิดชอบของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในที่สุดก็ต้องเป็นความรับผิดของ “พรรคพลังประชารัฐ” ไปด้วย
เหมือนกับการดำรงอยู่ของพรรคพลังประชารัฐเป็นการดำรงอยู่อีก ต่างหากอย่างที่ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐพยายามแยกตัวออกมา
ไม่เกี่ยวกับสิทธิผลประโยชน์อันจะได้จากการลงมติของ 250 ส.ว.
ไม่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของรัฐบาล ของคสช.ทั้งๆที่ในความเป็นจริง หัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค โฆษกพรรค ล้วนเคยดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี อยู่ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ทั้งๆที่แม้ร่างพรบ.ข้าวจะมีการเสนอมาจากสมาชิกสนช.แต่ก็ ต้องผ่านความเห็นชอบของครม.เพราะว่าเป็นร่างพรบ.อันเกี่ยวกับการเงิน
การจะเดินหน้าหรือถอยหลังร่างพรบ.ข้าวจึงมิได้เป็นเรื่องของรัฐสภาอย่างโดดๆ หากแต่เป็นรัฐสภาอันมาจากผลผลิตของรัฐประหารผลผลิตของคสช.
เมื่อเป็นของคสช.ก็ย่อมจะเป็นของ”พลังประชารัฐ”ไปด้วย
สภาพของร่างพรบ.ข้าวไม่ว่าจะเป็นการนำเข้า ไม่ว่าจะเป็นการนำ ออกก็อีหรอบเดียวกับคำสั่งหัวหน้าคสช.อย่างเช่นห้ามนั่งท้ายรถ กระบะ ความดำริจะเก็บภาษีหมา ภาษีแมว
ไม่ว่าชาวบ้าน ไม่ว่าชาวไร่ชาวนา ย่อมยากจะลืมเลือน
แม้ว่าจะมีการยกเลิกแต่ก็สะท้อนให้เห็นข้ออ่อนจุดบกพร่องอันดำรงอยู่ในกระบวนการบริหารจัดการอย่างโจ่งแจ้ง
เป็นผลงาน “คสช.” อันโยงยาวมายัง “พลังประชารัฐ”
